และแล้วเราก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศของกุ้ยหลินเมืองไทย เมื่อวันที่ 23-26 มกราคม 2552 ที่ผ่านมานี้ทอล์คทูทริปได้มีทริปไปที่เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฏร์ธานี ในตอนแรกที่เรานัดแนะกัน คือจะไป ประจวบคีรีขันฐ์ โดยนั่งรถไฟไป แต่มันจะไม่ได้บรรยากาศที่เป็นแบบฉบับทอล์คทูทริปน่ะซิครับ เราต้องเดินป่า ปีนเขา อะไรทำนองนั้น เลยตัดสินใจไปที่เขาสกแทน เราตั้งใจว่าจะออกเดินทางจากกรุงเทพโดยรถไฟ เวลา 19.30 น. แต่ด้วยเหตุการต่างๆที่เป็นอุปสรรค เราจึงเลื่อนไปเป็นรถด่วนพิเศษรอบ 22.25 น. แทน แต่แล้วก็ไม่วายที่จะมีอุปสรรคเข้ามาอีกครั้ง นั่นคือเราคิดว่าเราไปช้าแล้วจะตกรถไฟ แต่จากประสบการณ์การนั่งรถไฟมา มันจะออกเรทไปซักประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราจึงคิดว่าทันอยู่ แต่พอไปซื้อตั๋วปรากฏว่า เต็มครับ!! เราจึงเดินทางไปที่สายใต้ใหม่ เพื่อหารถทัวร์ไปสุราษฯ แต่!! อุปสรรคช่างเยอะจริงๆครับ ตอน 5 ทุ่มไม่มีรถลงไปสุราษแล้ว มีเพียงแต่รถตู้โดยสาร ที่เป็นรถเสริมเท่านั้น เราก็จำใจยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อได้ไปอย่างที่ตั้งใจไว้ครับ ค่าตั๋วคนละ 750 บาท จาก กทม.-สุราษฯ รถตู้คันนี้จะวิ่งถึงภูเก็ตเลยนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่
รถออกเวลาประมาณ 23.30 น. พวกเรามาถึงสุราษฯ ประมาณ 8.00 น. จากนั้นพี่รถตู้เขาก็จอดเพื่อสลับรถให้เราไปลงที่ ตลาดเกษตร 2 ซึ่งเป็นท่ารถตู้อีกสายหนึ่ง ที่จะไปส่งเราที่เขื่อน ว้าววว รถตู้สายนี้ผมมั่นใจเลยว่าเป็นรถตู้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยนั่งมาเลยครับ
คือการวิ่งวินของเขาในแต่ละเที่ยวนั่น จะวิ่งรับส่งคน จากเส้นทาง สุราษฯ ถึง เขื่อนชัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) โดยตลอดเส้นทางนั้น ไม่ว่าบ้านคุณอยู่ตรงไหน รถตู้จะไปส่งถึงที่เลยครับ ซอยเล็กซอยน้อย เขาก็วิ่งเข้าไปส่ง และมีบริการรับถึงที่อีกด้วย เพียงแค่คุณโทรไปที่ท่ารถตู้ เขาจะโทรติดต่อกับรถตู้คันที่กำลังวิ่งอยู่ ว่าจุดไหนมีคนจะโดยสาร เพียงแค่นั้นคุณก็นั่งรถที่หน้าบ้านได้เลย จะมีรถตู้ไปรับถึงหน้าบ้านครับ ว้าววว บ้านเราน่ามีแบบนี้มั่งเน๊อะ เหอๆๆ?แล้วพี่รถตู้เขาได้ถามเราว่าจองที่พักไว้หรือยัง เราก็ตอบไปว่ายังเพราะยังไม่เคยมา ไม่รู้อะไรเลย เขาจึงเอาเบอร์ติดต่อกับเรือที่ท่าและแพที่เราจะไปพักกันให้ เมื่อเสร็จสรรพแล้ว เขาไปส่งเราที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆ กัน มีพี่อีกคนพาเราไปที่เขื่อน ก่อนหน้านั่นก็ไปแวะซื้อของประทังชีวิตซักเล็กน้อย มีกล้วยหอม แล้วก็มาม่ากับปลากระป๋อง (กินกันตาย)
จากนั้นก็ไปแวะถ่ายรูปที่ป้ายเขื่อนรัชชประภา วันนี้ท้องฟ้าสดใส และอากาศค่อนข้างร้อนครับ
เมื่อถ่ายรูปจุใจแล้วก็ไปยังท่าเรือ มีพี่เขาบอกว่า ถ้าเราติดต่อเรือเอง จะได้ราคาที่ถูกกว่าเราไปติดต่อกับทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ตอนขากลับผมได้เข้าไปในศูนย์ฯ มีป้ายบอกราคาอยู่ เรทอยู่ที่ 2000-4000 ครับ แล้วแต่ว่าเราจะไปไหนบ้าง อันนี้เขาตีเป็นระยะทางเลย พอเราขึ้นเรือเสร็จออกเดินทางกันประมาณ 11.00 น. พี่เก่ง (คนขับเรือ)
เขาก็พาเราไปชมทัวทัศน์รอบๆ เขื่อน พาไปดูจุดที่เขาเรียกว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ตอนนั้นเราเริ่มเหนื่อยกันแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร น้ำในเขื่อนใสมากกก แต่จะใสออกเขียวๆ เราก็วนไปรอบๆ เขื่อน ไปมุมนู้นบ้างมุมนี้บ้าง จนได้เวลาพอเหมาะ พี่เก่งก็พาเราไปยังที่ “แพตาดโตน” ที่พักของเรา
ที่พักเป็นธรรมชาติมากๆครับ เป็นบ้านไม้ ที่ลอยอยู่บนน้ำ ติดกันเป็นแพ มีร้านอาหาร มีห้องน้ำให้บริการ ดูสภาพภายนอก ก็ดูเก่าๆ โทรมๆ แต่พอได้อยู่จริงๆ แล้ว นี่แหละ ธรรมชาติ ที่นอนดีมากครับ เป็นเบาะ 4 อันยาวติดกัน ห้องนึงน่าจะนอนกันได้ราวๆ 6-8 คน มีมุ้งให้ด้วย แต่ผมไม่ได้กางหรอกครับ เพราะที่นั่นไม่มียุง พอเราเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ทางแม่ครัวก็ทำอาหารให้เราทานครับ
แม่จ้าววว จะบอกว่าอาหารเยอะมากกกก เขาทำมาเหมือนเรามากัน 8 คน มีกับ 3 อย่าง ข้าว 1 หม้อและ ผลไม้ 1 จาน จะเป็นแตงโมกับสัปปะรดครับ เมื่อกินกันแบบอิ่มหน่ำสำราญแล้ว เราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่กางเกงขาสั้น เพื่อเตรียมลุยป่า พี่เก่งจะพาเราไปที่ถ้ำน้ำทะลุ ซึ่งห่างจากแพตานโตดไม่เยอะครับ นั่งเรือประมาณ 5 นาทีเท่านั้น สิ่งที่ต้องเตรียมไปในการชมถ้ำคือ ไฟฉายครับ ห้ามลืมเด็ดขาด ถ้ามีถ่านใหม่ก็เอาติดตัวไปด้วยครับ เพราะว่าเราต้องเปิดไฟฉายไว้ตลอด เมื่อถึงเส้นทางไปยังถ้ำน้ำทะลุ เราก็ต้องเดินกันอีกประมาณ 2-3 กิโล เห็นจะได้ อันนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะว่าขาไปมันรู้สึกไกลๆ อย่างบอกไม่ถูก ตลอดเส้นทางก็จะต้องเดินลุยน้ำ แล้วก็บุกป่าฝ่าดง เส้นทางไม่ยากลำบากมากครับ เดินง่าย พอเราถึงปากถ้ำ แม่จ้าวว ปากถ้ำใหญ่มาก ขนาดสิบล้อเข้าได้เลยมั้งครับ พอเราเดินเข้าไปก็ต้องเปิดไฟฉายแล้วครับ เพราะว่าข้างในไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย มันมืดกว่าคุณนอนหลับตาตอนกลางคืนอีกนะครับ จากปากถ้ำก็จะมีน้ำไหลเข้าไปในถ้ำตลอดเวลา เป็นน้ำที่ภูเขาซึมทรัพย์ไว้
ระยะทางในการเดินจากปากถ้ำถึงทางออก ประมาณ 680 เมตร ภายในถ้ำมีความงดงามของหินงอก หินย้อย ถ้ำมีความกว้างประมาณ 10 – 50 เมตร ภายในถ้ำบางจุดจะมีเชือกมะนิลาขึงไว้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เนื่องจากบางช่วงมีระดับน้ำสูงมาก
ข้อควรระวัง (ลอกมาจากป้ายเตือน)
การเดินทางเข้าไปเที่ยวภายในถ้ำน้ำทะลุ เพื่อความปลอดภัยไม่ควรสวมรองเท้าแตะ ควรเตรียมไฟฉายเข้าไป และควรสวมเสื้อชูชีพทุกครั้ง เนื่องจากระดับน้ำจะมีความสูงตั้งแต่หัวเข่าขึ้นไป และบางช่วงสูงประมาณ 2 เมตร?ท่ามกลางความมืดและเย็นในถ้ำ มันทำให้ใจหวิวๆยังไงไม่รู้ พวกเราเดินกันไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งก็ไกลพอสมควรแล้ว ก็เจอกับทางที่น้ำลึก ตามที่เขาได้เตือนไว้ ระดับน้ำตรงนี้ถึงกับมิดหัว ทางคนนำทางจึงแนะนำให้เราเดินกลับดีกว่า เพื่อความปลอดภัย T_T กลับหรอ… เราจึงตัดสินใจเดินกลับ ซึ่งตอนขากลับผมเกือบพลาดไปซะแล้ว เพราะจะเดินเลี่ยงน้ำ โดนเดินขึ้นไปบนโขนหินขนาดใหญ่ ซึ่งน้ำค่อนข้างขุ่นเพราะพี่คนนำทางเขาเดินลากเอาตะกอนน้ำขึ้นมา ทำให้ผมไม่เห็นหลุม (ซอกหิน) ขาก็พลัดเหยียบลงไป?ที่ห่วงที่สุดไม่ใช่ว่าหัวจะฟาดกับหินหรืออะไรนะครับ ห่วงว่ากล้องจะแตก แต่โชคดีที่ยังพยุงตัวได้ทัน ไม่งั้นได้เศร้าแล้วละ
ขากลับเราก็แวะชมค้างคาวเหมือนเดิม บนผนังถ้ำจะมีค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมันก็ยังเกาะกันอยู่ที่เดิมไม่บินไปไหนเลย ตอนที่เราถ่ายรูป สันนิฐานได้ว่า มันอาจจะตาบอดจริงๆ เพราะยิงแฟลชขนาดนั้นแล้วมันยังเฉยอยู่เลย
เรากลับออกมาพร้อมกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายเลยครับ โชคดีนะที่ออกมาก่อน ถ้าออกมาไม่ทันอาจจะเป็นผีเฝ้าถ้ำไปแล้ว เพราะอันตรายมากถ้าเข้าถ้ำในขณะที่ฝนตก เนื่องจากน้ำจะไหลเข้าถ้ำแรงมาก
เราก็กลับที่พักแล้วก็ ทานอาหารเย็น ที่เขาเตรียมไว้ให้ อร่อยอีกแล้วครับ อาหารเยอะมาก แต่ยังสงสัยอยู่ว่าปลานิลทำไมเขาถึงมีข้างเดียว? พอพลิกปลาไปอีกด้านไม่มีเนื้อปลา สงสัยจะแบ่งไปทำอย่างอื่นแล้ว
แล้วติดตามอ่านต่อใน part 2 นะครับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน
2 thoughts on “กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนรัชชประภา อช.เขาสก สุราษฯ ตอนที่ 1”
เพ่ แพที่พี่ไปพักอ่ะ เค้าชื่อ โตนเตย มิใช่ ตาดโตน เข้าใจ
สวยอ่ะ น่าไป