สวัสดีเช้าวันใหม่ กับอากาศเย็นๆ กำลังสบาย ผมอาบน้ำตอนเช้าที่หน้าแพนั่นแหละ ส่วน 2 คนนั้นเขาอาบกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมเองเป็นไข้เลยไม่ได้อาบ ยิ่งเจอฝนด้วยทำให้ต้องขอยาพารา จากพี่ที่แพเขาทานดักไข้ไว้ก่อน ที่แพตาดโตนหรือทุกแพเขาต้อนรับนักท่องเที่ยวดีมากๆ บริการทุกอย่าง ตอนเช้าก่อนที่ผมจะไปนั่งเรือชมธรรมชาติรอบๆเขื่อน และส่องนกเงือกนั้น พี่เขาก็ถามว่าจะทานอะไรกันก่อนมั้ย พวกเราตกลงกันว่าไว้กลับมาค่อยทาน ผมก็ได้จิบกาแฟไปแก้วนึงก่อน เป็นกิจวัตร ที่นี่มีบริการกาแฟ โอวัลตินฟรีครับ ใครจะชงดื่มก็ได้เลย ลุงเจ้าของแพแกบอกว่า วันนี้หมอกไม่สวย ทุกวันหมอกจะลงมาที่ผิวน้ำเต็มไปหมดเลย แบบว่าล่องเรือตัดสายหมอกกันเลย แต่วันที่ผมไปนั้นเอาฝนไปด้วย ลุงแกบอกไม่ตกมาหลายเดือนแล้ว เพิ่งมาตกวันนี้เอง เลยทำให้หมอกจางไปหมด สาเหตุที่หมอกไม่มาจับตัวกันที่ผิวน้ำเพราะว่า อากาศมวลรวมบริเวณที่สูงค่อนข้างเย็น ทำให้หมองที่เราเห็นจะเหมือนบนภูเขา หรือยอดดอย ที่มันจะลอยสูงเหนือต้นไม้ พูดแล้วเสียดายๆ
หลังจากนั้นพี่เก่ง คนขับเรือก็พาเราทัวร์รอบๆ ไปจุดที่จะเจอกับนกเงือก ซึ่งจุดนี้ต้องดับเครื่องเรือ พวกเราก็นั่งเฝ้ากันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นจริงๆครับ นกเงือก 2 ตัวบินผ่านหัวเราไป จนผมเองอดคิดไม่ได้ว่า อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนั้น เหมือนรู้ว่าเรามา หรือว่าเขาเลี้ยงไว้ป่าวหว่า พอพาคนมาดูก็ปล่อยให้มันบิน ฮ่า ๆ คิดขำๆ พี่เก่งแกบอกว่า บางทีมาก็ไม่เจอ มันเป็นสัตว์ที่ตื่นคนง่าย ซึ่ง “นกเงือก” เป็นสัตว์ที่จะอยู่เป็นคู่ครับ และเวลาที่มันบินเราจะได้ยินเสียงที่ดังมาก เป็นเสียงปีกของมันเสียดสีกับลม เสียงจะดัง “ฟ๊าบ ๆ” ทำให้มันถูกล่าได้ง่าย เพราะเสียงตอนที่มันบินนี่เอง ทิวทิศน์โดยรวมๆ ก็จะคล้ายๆ กัน น้ำใสๆ ท้องฟ้าสวยๆ ไม่รู้จะถ่ายมุมไหนดี
ตอนขากลับก็ยังเห็นนกเงือกบินมาอีกคู่ เฉียดผิวน้ำไปเลย กล้องผมถ่ายทัน แต่ว่าไม่ชัด เมื่อกลับมาก็ มีอาหารเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แหม เหมือนรู้เวลาเลย ว่ากำลังหิว อาหารก็เยอะเหมือนเดิมครับ มีผลไม้ให้อีกจาน ซึ่งก็มีทัวร์จากต่างชาติเขากำลังทานกันอยู่ รู้สึกว่าจะมี 2 กลุ่มนะ ที่ไปกันวันนี้มี อยู่ 6 กลุ่มด้วยกัน มีกลุ่มผม มีครอบครัวจากภูเก็ต และชาวต่างชาติ 2 กลุ่ม กับญี่ปุ่นอีก 1 คู่ ^^ ผมเลยเชื่อว่านี่แหละ คือสิ่งที่ชาวต่างชาติต้องการ เขาต้องการธรรมชาติ ไม่ใช้ความหรูหรา สะดวกสบาย ต่างกับพี่ไทย ที่คอยจะยัดเยียดความสะดวกสบาย ความหรูหราให้กับนักท่องเที่ยว
เมื่อทานกันเสร็จแล้ว เราก็ไปเก็บกระเป๋าเพื่อจะออกเดินทางกลับบ้าน แต่ก่อนนั่น เมื่อเรามาถึงแล้วยังไงก็ต้องไปชม view point ที่เขาล่ำลือให้ได้ ซึ่งจุดนี้ต้องปีนเขาขึ้นไปดู ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ในการเดิน ก่อนหน้านั้นพี่เก่งก็ขับเรือไปรอบๆ ไปแพโน้นแพนี้ เพราะมันเป็นทางผ่านด้วยแล้ว แกเองจะไปหาเพื่อน เราเลยได้ไปดูบรรยากาศแพที่พัก อื่นๆ ด้วย
จนมาถึงจุดจอดเรือที่เราจะต้องเดินต่อไปยังจุดชมวิว เส้นทางที่เดินค่อยข้างยากในช่วงท้ายๆ ก่อนที่จะถึงจุดชมวิว พอขึ้นไปถึงแล้ว ก็สวยจริงๆครับ เห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ พี่เขาบอกว่า ถ้าจะมาถ่ายรูปจริงๆ ต้องขึ้นมาตอนตี 5 เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น (โอ้ แม่จ้าว)
พอพักกันหายเหนื่อยแล้วเราก็กลับ ขากลับก็รู้สึกเหนื่อยๆ ผมเองยังอยากจะโดดเล่นน้ำให้เรือลากซะเลย เหมือนเสื้อชุ่มไปด้วยเหงื่อ สรุปทริปนี้ เที่ยวถ้ำ เดินป่า ปีนเขา เล่นน้ำ?คุ้มเลย แถมได้ล่องเรือไปตามขุนเขาดุจดั่งสรวงสวรรค์
พอกลับมาถึงท่าเรือเราก็ขอนามบัตรเขามาใบนึง แต่ว่าเราเองต้องหารถเพื่อกลับไปที่ตัวเมืองสุราษฏร์ธานี ระหว่างที่รอรถตู้ก็เดินถ่ายรูปไปพลางๆ
และพวกเราตัดสินใจว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ยังไม่ได้นั่งรถไฟเลย ยังไงๆ ก็ต้องขอนั่งซักหน่อยละ แต่ว่าเราก็ลืมบอกพี่คนขับรถว่า เราจะลงสถานีรถไฟ พี่เขามาถามเราตอนที่เลยมา จนถึงท่ารถตู้แล้ว ฮือๆๆๆ แต่คนสุราษฏร์ ทำให้ผมรู้สึกดีอีกครั้ง พี่เขาบอกว่า เดี๋ยวไปส่งให้ ระยะทางจากท่ารถตู้ ถึง สถานีรถไฟ ประมาณ 10 กว่ากิโลครับ พอเรามาถึงก็ จองตั๋วกันอันดับแรก เพราะตอนขามา มีประสบการณ์การตกรถไฟมาแล้ว เนื่องจากตั๋วเต็ม แต่ก็นั่นละครับ รถด่วน spinter ในราคา 300-400 บาทไม่มี มีแต่ Special Express หรือ รถด่วนพิเศษ ชั้น 2 ราคา 578 บาท เราก็ตัดสินใจกันอยู่ซักพักเพราะกลับเงินจะเกินงบที่ตั้งไว้ หลังจากนั้นก็ไปหาอะไรทานรองท้องกันก่อน เนื่องจากตอนที่เราไปถึงยังไม่ 6 โมงเย็นเลย รถไฟออก 2 ทุ่มครึ่ง เราจึงไปทานข้าวที่ร้านเจ๊…. อยากจะบอกว่า ลูกสาวเจ๊น่ารักม๊ากกกมากก เป็นอาหมวย หน้าใส น่าจะอายุ 26-27 ซึ่งในตอนแรกที่ผมมานั่ง ก็มองเหลือบดูโต๊ะข้างๆ ทำให้รู้สึกอยากลุกออกจากร้านเลย เพราะว่ามีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้นเลย เมนูก็ภาษาอังกฤษ แม่จ้าว มาร้านผิดแล้วม้างเรา ข้าวจะจานเท่าไหร่นิ แต่โชคดีที่พี่สาวคนสวยเขาบอกว่า สั่งอาหารตามสั่งก็ได้ พอเราทานกันเสร็จแล้ว ก็ยังฝากกระเป๋าไว้ที่ร้านเขาอีก เพราะถ้าหอบกระเป๋า ขาตั้งกล้อง ไปด้วยคงไม่ไหวแน่
จากนั้นก็เดินเล่น หาอะไรกินต่อในตลาด สาวสุราษฏร์ฯ ที่เห็นๆ จะขาวๆ คมๆ พอเดินชมเดินเที่ยวอยู่จนเหนื่อยก็ จบที่ร้าน ขนม นม เนย ซัดขนมปังกันเข้าไปอีก หลายชิ้น ทำเอาแทบเดินไม่ไหวเลย พอใกล้เวลาเราก็เดินกลับไปเอากระเป๋าที่ร้านพี่สาวคนสวย และไปรอรถไฟที่สถานี ซึ่งรถไฟก็จอดเทียบท่าอยู่แล้ว รถออกจริงๆ เวลา 3 ทุ่มกว่าๆ ได้ ซึ่งในใจผมก็คิดว่า น่าจะถึงตอน 6 โมงเช้า ช่วงที่นั่งรถไฟไปก็มีของว่าง กับข้าวมาเสริฟด้วยละ มิน่าเขาถึงเรียกว่ารถพิเศษ ช่วงตี 3 -4 แอร์เริ่มหนาวมากๆ จนผมนอนแทบไม่หลับ มารู้สึกตัวอีกทีตอน ตี 5 ครึ่ง ซึ่งก็ใกล้ถึงหัวลำโพงแล้ว ตอนแรกผมจะลงที่สถานีสามเสน เพราะว่ามีรถใต้ดินไปลงหมอชิต ซึ่งใกล้กว่าที่หัวลำโพง และอีกอย่างน๊อตมันต้องทำงานตอนเช้า ส่วนผมกับก๊อง ว่างไม่ได้ทำอะไร สรุปแล้วก็เลยโบก texi ไปส่ง เพื่อซื้อเวลา น็อตมันก็ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อที่ หัวลำโพงเลย เตรียมไปทำงานต่อ ส่วนสัมภาระไว้ค่อยมาเอาที่บ้านก๊องอีกที
สรุปทริปนี้ ประทับใจน้ำใจคนสุราษฏร์ฯ อย่างแรงๆ ครับ
3 thoughts on “กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนรัชชประภา อช.เขาสก สุราษฯ ตอนที่ 2”
ค่าที่พักแพงไหมคะ
อยากไปแบบแบ็คแพ็กเกอร์ อยากรู้รายละเอียดมากๆๆค่ะ
อ่านตามนั้นเลยครับ ค่าทีพักไม่แพงครับ แพงค่าเรือ