
ทริปกระทันหันอุทยานแห่งชาติพุเตย สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 56 ได้ไปดูเส้นทางแถวสุพรรณบุรี โดยเริ่มต้นเดินทางจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านเส้นป่าโมก ไป อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เพื่อไป ศูนย์พันธ์พืชเพาะเลี้ยง จากนั้นไปตลาดเก่าศรีประจันต์ และ ตลาดสามชุก ด้วยเวลาอันจำกัด เลยไม่ได้ไปที่พุเตย จึงตัดสินใจกลับบ้าน มาเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น มีผม ฟ้า ดรีม และลูกสมุนติดตามอีก 2 คน เกดและนังแท่ง โดยใช้เส้นทางสาย อยุธยา-เสนา วันที่ไปรถก็เยอะพอสมควร แต่ก็ยังใช้ความเร็ว 80-100 ได้ เราใช้เส้น 340 ไปจ.สุพรรณบุรี ไปจนถึง อ.ศรีประจันต์ เลี้ยวขวาไปตามเส้น 3038 เข้า อ.ดอนเจดีย์ แล้วไปตามเส้น 3264 จากนั้นมุ่งตรงไปจนถึงแยกเส้น 333 ขับไปจนถึงแยกเข้า หนองปรือ 3008 มุ่งตรงจนเจอป้ายเข้าอุทยานแห่งชาติ เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุดครับ ถ้ามาตาม GPS มันจะพาเข้าถนนลูกรัง ขับลำบากมาก
เมื่อมาถึงเราพบว่ามีรถยนต์ กับนักท่องเที่ยวมาจับจองสถานที่กางเต้นท์กันมากพอสมควร จนทำให้เต้นท์ที่ทางอุทยานฯให้บริการหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนเช้าเราได้โทรสอบถาม กับทางอุทยานแล้วยังมีเต้นท์ให้บริการหรือไม่ แต่พลาดที่ไม่ได้จองไว้ จากนั้นจึงต้องหาแผนการใหม่ ว่าจะนอนอย่างไรกันดี ในเมื่อเรามีเต้นท์ขนาด 2 คน อยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น ในใจก็คิดว่า อาจจะให้สองคนนอนในรถ อีกสองคนนอนในเต้นท์ ยังดีที่ก่อนจะถึงอุทยานแวะร้านค้าแถวนั้น ซื้อผ้าใบขนาด 6X6 มาผืนนึง เอาไว้รองพื้น แล้วตัดครึ่งมากางกันน้ำค้าง
ซักพักมีเจ้าหน้าที่เขาเดินมาถามสารทุกข์สุขดิบ คอยดูแลผู้มาใช้บริการ ชื่อ “พี่เอก” เขาได้ให้ยืมเต้นท์ของแม่ยายเขา มันก็ไม่ใหญ่มาก นอนได้สองคน ทำให้เรามีเต้นท์นอนกันพอดี แต่อีกคนก็คงต้องนอนในรถเหมือนเดิม เพราะถ้ามาอัดกันในเต้นท์คงจะไม่พอแน่นอน
หลังจากนั้นแม่ครัวก็ลงมือจัดแจงสำรับกับข้าว ที่เราจะกินกัน วันนี้มีข้าวเหนียว ไก่ย่าง หมูย่างที่เตรียมมาจากบ้าน อาหารกระป๋อง แบบที่กินง่ายๆ เพื่อเติมพลัง เผื่อจะไปไหนต่อ เมื่อกินเสร็จ จัดวางของเรียบร้อยแล้ว เราก็มองหาที่ๆ จะไป นั่นคือ “เขาสน” กับ ศาลเลาดาร์ ที่มีเครื่องบินเลาดาร์แอร์ตก มีผู้เสียชีวิต 223 ศพ โดยใช้เส้นทางที่จะไปยังหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ 1 พุเตย ซึ่งเป็นทางลูกรัง เราขับไปได้ประมาณ 500 เมตร ก็เจอรถสวนทางมาเป็นระยะๆ แต่ละคันนั้นยังกับไปคลุกฝุ่นมา แดงไปทั้งคันเลยก็ว่าได้ จนเจอกระบะยกสูงคันหนึ่งจอดอยู่ เราถามทางเขาว่า รถเล็กอย่างเราจะไปได้มั้ย เขาบอกว่า อย่าเสี่ยงเลย ถนนมันขรุขระ และเป็นเนิน เป็นหลุม เกรงว่าท้องรถจะติดเอาง่ายๆ มันจะไม่คุ้มกับการซ่อมช่วงล่างใหม่ เราจึงตัดสินใจวกรถกลับ
ซึ่งเส้นทางนี้คนที่มาตาม GPS เขาจะถูกหลอกให้มาเส้นที่ใกล้ที่สุด แต่ว่าไม่ได้สะดวกที่สุด เราเห็น Honda Civic ถอดสเกิร์ตหน้าวิ่งสวนมาแล้วใจหายแว๊บบบ ไม่รู้ว่ามันหลุด หรือ เขาตั้งใจถอดกันแน่ ซึ่งระยะทางไปป่าสนก็ราวๆ 6 กม. มันก็ไม่ได้ไกลนัก แต่สถาพแบบนี้ แค่ 500 เมตร ก็ยังลำบาก จึงตัดสินใจว่าไม่ไปดีกว่า พอกลับมายังเต้นท์ก็ไม่ได้ทำอะไร คุยกับลุงข้างๆ เขามากัน 3 คน เราเองไม่ได้ถามชื่อลุงกับป้าเสียด้วย ลุงแกเป็นคนอัฐยาศัยดี แกเดินทักคนไปทั่วเลย เดินไปเต้นท์โน่นที เต้นท์นี้ที ส่วนป้าแกก็นั่งเล่นแท็บเล็ต ไม่ค่อยสนใจใคร น้าอีกคนนึงที่มาด้วยก็คุยบ้าง แต่ก็ไม่เท่าลุง
พอตกเย็นอากาศก็เริ่มหนาวขึ้น ตอนนั้นผมลองเดินไปดูตามร้านค้า ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายเลย มีแต่ของใช้ อาหารและเครื่องดื่มทั่วไปขายเท่านั้น มันน่าเสียดาย แต่ตามกฏของอุทยานจริงๆ เขาก็ห้ามไม่ให้นำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขึ้นมาอยู่แล้ว (แต่อากาศมันหนาวนี่นา) จนลุงแกไปคุยกับพี่ทหารคนนึง แกมากับครอบครัว เขาจะลงไปซื้อของข้างล่าง ระยะทางก็ประมาณ 8 กม. เราก็เลยติดรถไปกับเขา ตลอดทางก็ได้พูดคุยกันบ้าง แกเป็นคนสุพรรณ อ.สองพี่น้อง แต่ไปรับราชการทหารอยู่ที่ ชลบุรี เป็นนาวิกโยธิน ส่วนเมียแกอยู่โรงงานแถวบางละมุง
พอถึงตลาด ซึ่งมีตลาดนัดเล็กๆ ให้เราได้เดินซื้อของบ้าง ตอนนั้นยังไม่ถึง 6 โมงเย็นด้วยซ้ำ เขาก็เก็บร้านกันจนจะหมดแล้ว เหลือแต่บางร้านที่ยังไม่ได้เก็บ ผมเลยซื้อมันมา เพื่อเอามาเผากันตอนกลางคืน เพราะเห็นว่ามีกองไฟเล็งๆ ที่เคยมีคนก่อไว้แล้ว พี่ทหารเขาก็เลยมาก่อไฟไว้ จากนั้นก็ซื้อเครื่องดื่มแก้หนาวติดไปเล็กน้อย
พอกลับมาเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือเปิดเครื่องดื่มกินแก้หนาวกันก่อน กับชวนน้าเต้นท์ข้างๆ มาเล่นไพ่กัน โดยพี่เอก เขามาเป็นเจ้ามือ ซึ่งไพ่ก็เป็นไพ่ใหม่ที่ผมเพิ่งเอามา แกสับยังไงไม่รู้ ผมดูแล้วก็ไม่น่าจะทำไพ่ แต่แกมาเฉลยตอนวันจะกลับว่า แกใช้ความน่าจะเป็น โดยมันมีเทคนิคเล็กน้อย ให้แต้มมากๆ เข้าทางเจ้ามากกว่าลูกมือ แกมานั่งอยู่พักเดียว ได้ไปเกือบ 2 ร้อย เราเล่นกันตาละ 5 บาท แหม๋ เกือบหมดตัวเลย
พอพักจากไพ่ก็ ราวทุ่มครึ่ง พี่ทหารเขาชวนเราไปนั่งผิงไฟ นั่งเผามันไป คุยกันไปก็เพลินดี ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผมว่ามันเป็นอะไรที่หาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเรามัวแต่มานั่งอยู่ในที่ทำงาน เราก็จะไม่ได้เจอผู้คน จริงๆ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความไว้เนื้อเชื่อใจมันเทียบกันไม่ได้เลย ผมซื้อมันมาสองกิโล กิโลละ 25 บาท มันหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว หรือเพราะว่าเราเพลินก็ไม่รู้ พอมันหมด เราก็แยกย้ายกัน
ผมกลับมาที่เต้นท์นั่งเล่นไพ่สลาฟกับลูกสมุนต่อ จนพี่เอก เขาเดินเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน ทีนี้แกเป็นสลาฟไปหลายตา เพราะแกเล่นสลาฟไม่ค่อยเป็น แถมมาแบบกึ่มด้วย เราก็สอบถามเส้นทางของวันพรุ่งนี้ แล้วก็เรื่องทั่วๆ ไป เมียแกก็ทำงานที่นี่เป็นเจ้าหน้าที่เหมือนกัน ลูกแกน่าจะอายุประมาณ 10-12 ขวบ เห็นจะได้ แหม๋ มีลูกทันใช้จริงๆ เราสอบถามข้อมูลว่าถ้าตอนเช้าจะขึ้นไปตะเพิงคี่จะต้องไปยังไง ทางพี่เอกบอกว่า เช้าจะมีรถให้เหมาขึ้นไป 2000 บาท ถ้าเราไปรวมกับคนอื่นๆ ก็จะได้หารกัน แต่ต้องตื่นราวๆ ตี 3 ถึงจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น งานนี้ก็คงต้องขอบาย เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวกันมาเลย พอเครื่องดื่มหมดเราก็ได้เวลาเข้านอน อุณหภูมิตอนนั้นประมาณ 13 องศา ก็ไม่หนาวจนเกินไป พอเข้าเต้นท์ มันก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ พอดึกจัดๆ มีน้ำค้างลง จนทำให้เต้นท์ที่นอนเปียกและเย็น จนไม่น่าเชื่อ เพราะผมเอาผ้าใบคลุมเต้นท์ไว้อีกที ผ้าห่มที่เอามาก็ดูจะไม่พอเสียแล้ว เลยต้องนอนหนาวกันอยู่ในเต้นท์นั่นแหละ
พอเช้าตื่นขึ้นมา ผมลองเอามือลูบเต้นท์ มันมีแต่น้ำ ซึ่งน้ำก็จะขังอยู่ด้านใน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเต้นท์มันไม่ดี หรือว่าอากาศข้างนอกมันเย็นจัด รถยนต์มีแต่น้ำค้างเกาะเต็มไปหมด เต้นท์ที่กางอยู่กลางแจ้ง ลานโล่งๆ คงจะเปียกโชกน่าดู อุณหภูมิต่ำสุดคงจะราวๆ 8 องศา ผมว่าที่นี่มันหนาวน้ำค้าง มากกว่าหนาวลม เพราะกระแสลมไม่ค่อยแรง อาจจะเป็นเพราะมันอยู่ในหุบเขาด้วยก็เป็นได้ ผมลองเดินสำรวจรอบๆ อีกครั้ง พบว่ามีรถและเต้นท์เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเย็น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามากลางดึกหลายกลุ่ม เท่าที่ผ่านเต้นท์ผมไปก็ราวๆ 10 คันเห็นจะได้
อาหารมือเช้าของเราวันนี้เป็นมาม่าคัพ ที่เตรียมกันมา เนื่องจากขี้เกียจหุงหาอาหาร กะว่าไปกินตอนสายๆ ข้างนอกก็ได้ เลยไม่ได้เตรียมข้าวมา หลังจากกินเสร็จเราก็เก็บสัมภาระ เตรียมขึ้นรถ ลุงเต้นท์ข้างๆ เขาก็เข้ามาคุย ว่าจะไปได้ต่อ เขาจะไปบ้านไร่ ไปวัดถ้ำเขาวง เขาจะวิ่งไปทางตะเพิงคี่ ผมก็เลยว่าจะไปเส้นทางเดียวกันกับลุงเขา เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว แต่เส้นทางที่ว่านี้มันจะเป็นลูกรัง แต่พี่เอก เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า รถเล็กสามารถวิ่งได้ผมก็เชื่อตามนั้น จนเก็บของใกล้จะเสร็จ รอแค่เต้นท์มันแห้ง เพราะไม่อยากม้วนเก็บตอนที่มันยังเปียกอยู่ มันจะทำให้เต้นท์ขึ้นรา เป็นรอยด่างๆ ได้ ลุงได้เข้ามาคุย จนทราบว่า ลุงแกเป็นเพื่อนของลุงดุง เพื่อนของพ่อแฟนผม แกบอกว่าตอนงานแต่งลูกชายเขาลุงก็มา โลกมันช่างกลมเสียจริงๆ พอเราร่ำลากันเสร็จแล้วก็ขึ้นรถมุ่งสูงเส้นทางไป ตะเพิงคี่ ผ่านทาง บ้านกล้วย ซึ่งเส้นทางนี้มันช่าง?
หลังจากที่เลยบ้านกล้วยมาแล้วซักระยะ เส้นทางลูกรังก็ปรากฏ ตอนแรกเราคิดว่าเราจะหลงทาง เพราะตอนนี้ GPS มันไม่มีสัญญาณ ถนนเป็นทางแคบๆ เทลูกรัง แล้วมีกอหญ้าปกคลุมริมถนนเต็มไปหมด นานๆ ทีจะมีรถขับสวนมาซักคัน ทางค่อนข้างชัน เหมือนเขาใหญ่ แต่ถนนแย่กว่าเยอะ บางช่วงเป็นหลุมบ่อ ทำให้ขับได้ลำบากมาก โดยเฉพาะช่วงที่เป็นคอสะพาน มันจะมีหลุม ทำให้เราต้องชลอความเร็ว ทั้งๆ ที่ขับได้แค่ 20-30 อยู่แล้ว ก็ต้องช้าลงไปอีก พอพ้นคอสะพานก็เป็นเนินสูง ทำให้รถเครื่อง 1200 แทบแย่ เพราะบรรทุกมาหนักและกำลังเรื่องมันดูท่าจะไม่ไหว
หลังจากพ้นเส้นลูกรังมาแล้ว เราก็ตรงไปยัง วัดถ้ำเขาวง ซึ่งน่าแปลกใจมากๆ ที่คนจากทุกทั่วสารทิศ มาที่นี่กัน ผมเองยังสงสัยว่าเขามากันทำไม มาทำอะไร แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เพราะสถานที่แห่งนี้จัดว่า มีสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนวัดเลย มีบ้านทรงไทย มีสระน้ำ มีถ้ำให้เดินสำรวจ เอาเป็นว่า ลองไปชมกันเองครับ
จากนั้นก็เลยเข้าไปอีกหน่อยเข้าวนอุทยานถ้ำเขาวง, ถ้ำพุหวาย ไปเดินสำรวจถ้ำที่ยังเป็นอยู่ ด้านในมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ มีหินงอกหินย้อนรูปทรงต่างๆ มากมาย โดยทางอุทยานจะมีไฟฉายให้เช่า และมีเจ้าหน้าที่เดินนำทาง ทางเดินขึ้นไปยังถ้ำประมาณ 200 เมตร เส้นทางสะดวกเดินง่ายครับ หลังจากที่เราเที่ยวถ้ำแล้วก็ ตีรถกลับเข้าเส้น 333 กลับเข้า อ.ดอนเจดีย์ ผ่าน ศรีประจันต์ กลับบ้านอย่างปลอดภัย
หมดไปอีกทริปกระทันหัน ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย แบบขับรถเที่ยวเดียวจบ ระยะทางรวม 550 กม. พบกันใหม่ในทริปหน้าครับ
ข้อมูลที่น่าสนใจ
- อุทยานแห่งชาติพุเตย?ตั้งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี มีเนื้อที่ 198,422 ไร่ จัดตั้งขึ้นเนื่องจากกรมป่าไม้เห็นว่า พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์บางส่วนในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าองค์พระ ป่าเขาพุระกำ และป่าห้วยพลู ท้องที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารในการเกษตร ของจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี มีทิวทัศน์สวยงาม สัตว์ป่าชุกชุม สมควรอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติ จึงแต่งตั้งให้ นายพันเทพ อันตระกูล นักวิชาการกรมป่าไม้ ไปทำการสำรวจบุกเบิกเตรียมการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปี 2541 จึงได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 84ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 115ตอนที่ 67ก ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยใช้ชื่อว่า ?อุทยานแห่งชาติพุเตย? ต่อมาได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 2421/2543 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ให้โอนงานวนอุทยาน ?ถ้ำเขาวง? ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของป่าไม้เขตนครสวรรค์ จำนวน 8,125 ไร่ ผนวกเข้าเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติพุเตย โดยให้มีการจัดการตามระบบอุทยานแห่งชาติ
- ลักษณะภูมิประเทศ?สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูงติดต่อกันสลับซับซ้อน จุดสูงสุดที่ยอดเขาเทวดา ระดับความสูง 1,123 เมตร เป็นต้นน้ำลำธาร ซึ่งไหลลงอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีคลอง ลำห้วยต่างๆ เช่น ห้วยเหล็กไหล ห้วยวังน้ำเขียว ห้วยองค์พระ ห้วยท่าเดื่อ ห้วยขมิ้น ห้วยองคต ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของชาวสุพรรณบุรี และเป็นต้นกำเนิดของเขื่อนกระเสียว
- พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า?มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นเช่น ป่าสนสองใบ ป่าเต็งรังอุทยานแห่งชาติพุเตยมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน สัตว์ที่มีเป็นจำนวนมากในพื้นที่ได้แก่ เลียงผานกเงือก ชะนี ลิงลม
- สภาพภูมิอากาศ?สภาพอากาศ มีลมมรสุมพัดผ่านตลอดปี เกิดฤดูกาล 3 ฤดู คือฤดูฝน ประมาณ เดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ฤดูหนาว ประมาณปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือน กุมภาพันธ์ และฤดูร้อน ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส แต่ในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิประมาณ10 ? 15 องศาเซลเซียส และที่หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่นั้นมีอุณหภูมิประมาณ5-6 องศาเซลเซียส
สถานที่พักสิ่งอำนวยความสะดวกและการเตรียมตัว
อุทยานแห่งชาติพุเตย มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว และสถานที่กางเต็นท์สะอาด นักท่องเที่ยวควรเตรียมอุปกรณ์ในการพักแรมไปด้วยเช่น เต็นท์ถุงนอน เปลสนามฯลฯ แต่หากนักท่องเที่ยวประสงค์จะค้างแรมใน กรณีที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์พักแรมไปด้วย ทางอุทยานฯ ได้ปรับปรุงบ้านพักราชการไว้เป็นห้องพักรับรองนักท่องเที่ยวชั่วคราว และมีเต็นท์ให้บริการอาหารควรเตรียมไปเองนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปกางเต็นท์บนเข้าสนได้ ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ข้างบนจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
อัตราค่าบริการกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
อัตราค่าอาหาร
– ค่าอาหาร/150/วัน/คน
เช้า ข้าวต้ม/ข้าวผัด 1อย่าง
กลางวัน ข้าวห่อ /หมู/ไก่ 1 อย่าง
เย็น กับข้าว 2 อย่าง + ของหวานหรือผลไม้
****เกินจากนี้บวกค่าอาหารเพิ่ม 50 บาท/อย่าง
****ค่า Coffee Break ราคา 30 บาท/คน
ราคาค่าอาหารและราคาค่ารายการต่างๆ
*** เริ่มใช้ตั้งวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
- ค่าโป่งเทียม ตัวละ 900 บาท
- ค่าหนังสติ๊กสู่ต้นกล้า ชุดละ 500 บาท
- ค่าฝายชลอน้ำ (ฝายแม้ว) ตัวละ 1,000 บาท
- ค่าแนวกันไฟ แนวละ 600 บาท
- ค่าต้นไม้ ต้นละ 50 บาท
- ค่าวิทยากรบรรยายตามฐานเรียนรู้ ฐานละ 500 บาท
- ค่าเต็นท์เล็ก หลังละ 250 บาท
- นักท่องเที่ยวนำเต็นท์มากางเอง หลังละ 30 บาท/คืน/หลัง
- ค่าบ้านพักหลังละ 500 บาท/คืน
- ค่ามอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท
- ค่ารถยนต์ คันละ 30 บาท
- ค่ารถที่เกิน 6 ล้อ คันละ 100 บาท
- ค่ารถบัส คันละ 200 บาท
- ค่าบุคคลเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาท
- ชาวต่างชาติคนละ 100 บาท
- ค่าเช่ารถยนต์ขึ้นป่าสนสองใบและศาลเลาด์ดาห์แอร์ ราคา 1,200 บาท
- ค่าเช่ารถขึ้นตะเพินคี่ ราคา 2,000 บาท
****ขอให้ใช้อัตรานี้เป็นบรรทัดฐาน****
ผู้ใดสนใจ ติดต่อ081-9342240, 035-446-237
ข้อมูลจาก:http://www.suphan.biz/Phutoeinationalpark.htm
- เตรียมกับข้าว
- เต้นท์สีเด่นไปนะ
- ถึงเวลาหม่ำ
- บ้านกระเหรี่ยง บ้านพ้กราคา 300
- ได้บรรยากาศ
- ลุงเต้นท์ข้างๆ
- ลานกางเต้นท์
- คนเยอะจริงๆ
- จุดของฝาก
- จุดแสตมป์ และเก็บค่าธรรมเนียม
- ที่ทำการอุทยาน
- บ้านพัก
- ป้ายอุทยาน
- ลานกางเต้นท์
- เล่นไพ่แก้หนาว
- ช่วงเช้า
- ช่วงเช้า
- อีกมุม
- น้ำค้างแรงมาก
- ห้องน้ำให้บริการ
- วัดถ้ำเขาวง
- วัดถ้ำเขาวง
- วัดถ้ำเขาวง
- วัดถ้ำเขาวง
- วัดถ้ำเขาวง
- ทางเดินไปถ้ำ
- คนเยอะมาก
- วนอุทยานถ้ำเขาวง หรือ ถ้ำพุหวาย
- ต้องพึ่งยาดม
- เจ้าหน้าที่กำลังแนะนำ
- ม่านส่วนดี
- กิ่งกือถ้ำ ตัวขาวจั๊วะเลย
- ต้นนี้สูงมาก อายุคงเป็นร้อยๆ ปี
- ถึงทางออกแล้ว
- ไม่รู้ต้นอะไร เหมือนแตงโม แต่เรื้อยไปทั่ว
- กล้วยป่า
- กล้วยป่า
- คงต้องล้างครั้งใหญ่