นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ได้ไปเยือนภูสอยดาว ต่างกันที่ครั้งนี้เราไปกัน 4 คน จากเดิม 3 และครั้งที่แล้วเป็นหน้าหนาวแล้ว ทำให้อดชมทุ่งดอกไม้ ทริปนี้เลยได้จังหวะวันหยุดหลายวัน ไปย้ำความทรงจำที่ภูสอยดาวอีกรอบ หวังว่าจะเก็บภาพทุ่งดอกไม้มาฝากกันครับ การเดินทางครั้งนี้จุดที่เราเริ่มต้นเดินทางก็เหมือนเช่นเคย ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ในตอนแรกคิดไว้ว่าจะขึ้นรถที่สถานีขนส่งย่อย รังสิต แต่ลองพิจารณาดูแล้ว ช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ คนต้องเยอะแน่ๆ เราจะไม่มีรถไปกันหรือเปล่า ก็เป็นไปตามที่คาดการไว้ครับ คนเยอะมาก รถที่วิ่งไป จ.พิษณุโลก เต็มทุกคัน ผมได้นั่งรถเสริม คันที่ 4 ซึ่งมีทั้งหมดกี่คันผมไม่ทราบ เป็นรถ ม.2 (ปรับอากาศชั้น 2) มันก็ค่อนข้างจะแออัดและ เมื่อยซักนิดนึง แต่ก็ราคาถูกกว่ารถ VIP ล่ะครับ ราคาค่าตั๋ว 256 บาทต่อคน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลองนั่งรถไฟดูบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ แต่ก็ตั้งใจว่าขากลับจะนั่งรถไฟครับ
โชว์ตั๋วให้ดูซักหน่อยเป็นบันทึกเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้
รถโดยสารเข้ามาถึงสถานีขนส่งพิษณุโลกเวลา 6.39 น. โอ้โฮ มันช้ากว่าที่เราคิดครับ ครั้งที่พวกเรามาถึงที่นี่ตอน ตี 5 แต่ครั้งนี้ช้ากว่าเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งเราตั้งใจไว้ว่า จะมาทันรถไป อ.ชาติตระการ ที่ออกเวลา 5.30 น. ซึ่งจาก พิษณุโลกไป อ.ชาติตระการนี้ใช้เวลา ประมาณ 60 นาที โดยประมาณ เราจึงได้เหมารถจาก พิษณุโลกไปภูสอยดาวเลย ค่าเหมารถในราคา?4,500 บาท
ตลอดเส้นทางที่ผ่าน จะพบกับหมอก และฝนตกปอยๆ อากาศค่อนข้างเย็น มองไปทางซ้ายขวา มีแต่สีเขียวชะอุ่ม สบายตาสบายใจมากๆ เราแวะจอดรถที่ อ.ชาติตระการ เพื่อซื้อของสด ที่ต้องเอาไปเป็นอาหารตอนอยู่บนภูสอยดาว เมนูปีนี้ก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนจากปีที่แล้ว มีปลานิลย่างเกลือ, ปลาทูหลงป่า ซึ่งปีนี้เราเตรียมอุปกรณ์ในการทำอาหารมากพอสมควร จากประสบการณ์ที่เคยลืมโน้นลืมนี่ ปีนี้ทุกอย่างพร้อมมาก ๆ เราก็ใช้เวลาในการจับจ่ายไปไม่มากนัก จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ภูสอยดาว ทุกอย่างยังเหมือนเดิม วิวทิวทัศน์คุ้นตา พอมาถึงที่ทำการอุทยานฯภูสอยดาว เราก็ต้องตกใจกับ จำนวนรถตู้ ที่มาจอด ผมไม่ได้ลองนับดูว่ามีทั้งหมดกี่คัน แต่น่าจะเกิน 20 ลองสอบถามจากเจ้าหน้าที่ว่าช่วงนี้คนขึ้นเยอะมั้ย เจ้าหน้าที่ได้ตอบกับผมว่า ร่วมพันคน!! โอ้วววว เยอะมากครับ ลองไปดูที่บอร์ด จองลูกหาบแล้ว ไม่มีชื่อ คณะเราเขียนไว้เลย (สงสัยเจ้าหน้าที่ลืม) เพราะเราติดต่อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่เห็นในบอร์ด มีแต่ TKT ครับ แน่นอน ชื่อย่อนี้ไม่ใช้ใครที่ไหน trekkingthai นั่นเอง มีการจองยาวถึง ปลายเดือนกันยายนเลยครับ ปีนี้ภูสอยดาวบูมมากๆ หลังจากชั่งน้ำหนักสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดเตรียมของให้ลูกหาบ ๆ ขึ้นให้ และอย่างเช่นเคยครับ เป้ของเรา เราจะแบกกันเอง ซึ่งก็ประมาณคนละ 20-30 กิโล ก่อนขึ้นเราก็ต้องแวะถ่ายรูปเอาฤกษ์ เอาชัยกับป้าย “น้ำตกภูสอยดาว” ซักนิด ปีนี้เรามาหน้าฝนน้ำตกภูสอยดาวมีน้ำค่อนข้างเยอะครับ ทางที่เดินก็ค่อนข้างลำบากกว่าครั้งก่อน เนื่องจากเป็นหน้าฝน ทำให้พื้นลื่น และเปียก ทุกก้าวที่เดินต้องระมัดระวังให้มาก ถ้าพลาดไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็มิทราบได้ พอเราเดินกันไปได้ซักพัก ช่วง “เนินส่งญาติ” ก็มีฝนตกมาให้ได้ชุ่มฉ่ำกันซะแล้ว ต้องหยิบเสื้อคลุมฝนที่เตรียมไว้ออกมาใช้ ทางเดินก็ค่อนข้างมืดครับ เพราะไม่มีแสงอาทิตย์เลย ทำให้เดินลำบากขึ้นไปอีก ระหว่างทางก็มีดอกไม้ เห็ด และพันธ์ไม้ที่รอฝน เพื่อเจริญเติมโต ผุดขึ้นมามากมาย
หลังจากฝนหยุดตก อากาศก็เริ่มอบอ้าว หรือเพราะเราเหนื่อยก็ไม่ทราบ ต้องถอดเสื้อกันฝนออก ทางเดินที่ลำบากก็ ลำบากกว่าเดิม เพราะฝนเพิ่งตกใหม่ๆ ทำให้ยิ่งลื่นเข้าไปอีก ผมเองเมื่อ อาทิตย์ก่อน ประสบอุบัติเหตุ ตกบรรไดบ้าน ทำให้เส้นเอ็นข้อเท้าพลิก จึงเดินไม่ถนัดนัก เหยียบด้วยปลายเท้าไม่ได้ หมอแนะนำว่าให้เดินเต็มเท้า และอย่าเดินมาก แต่ก็รั้นมาเที่ยวภูสอยดาว ซักพักเราก็มาถึงเนินสุดท้ายแล้ว??“เนินมรณะ” ซึ่งถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก มองไม่เห็นยอดเลยครับ เราพักอยู่ตรงนี้กันซักพัก ปีนี้เราเดินกันไวมาก ไม่แน่ใจว่า เพราะเคยมาแล้ว จึงรู้สึกว่ามันใกล้ หรือว่าเราเดินไวเอง ตอนนี้ บ่าย 3 โมงแล้ว ซึ่งปีก่อนเราเดินถึงจุดนี้ก็ ปาเข้าไป 4 โมงกว่าแล้ว ตรงจุดพักนี้เรายังเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาก่อนหน้าเรา ยังเดินกันอยู่บนเนินมรณะ ทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น เฮ้ย เรามาทันเขาแล้ว 555
อีกไม่ไกลแล้ว ข้ามเนินนี้ไปก็เขาสู่ลานสนแล้ว ฮื๊บ ไปต่อ อีกนิดเดียว
พอถึงช่วงนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่ “ฤดูฝน” ที่เราคิดว่าไว้ ที่จะมีแต่ฝนเท่านั้นนั้น มันกลับหนาวอีกต่างหาก อากาศเย็นลงๆ อย่างที่เขาว่าไว้ ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว ยิ่งสูงก็ยิ่งมองไม่เห็นอะไร เพราะหมอกบดบังไว้หมด มันเหมือนสวรรค์เลยครับ ที่หันไปด้านไหนก็ ขวาโผลนไปหมด เหมือนตาเราฝ้าฝางไปเอง
เย้ และเราก็มาถึงลานสนจนได้ ยังกับสวรรค์เลยครับ หันไปทางไหนก็มีเมฆหมอกเต็มไปหมด เราสามารถมองเห็นได้ในระยะ 50 เมตร ถ้าเกินกว่านั้นแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลยครับ มันขาวไปหมดจริงๆ พอเราถึงที่ทำการด้านบนแล้ว โอ้โฮ มีนักท่องเที่ยวเยอะจริง ๆ ครับ มีคณะใหญ่ที่เขามากัน 30 คนก็มี, กรุ๊ปเล็กๆ 5-6 คนก็มีครับ แต่ยังหาแบบที่มา 4 คนแบบเราไม่เจอเลย เราก็ต้องนั่งรถลูกหาบ ที่ขนสัมภาระบางส่วนให้เราขึ้นมาครับ ซึ่งจะเป็นเต้นท์ และน้ำดื่ม ระหว่างที่รอเราก็ไปสำรวจพื้นที่สำหรับการเต้นท์ ซึ่งค่อนข้างหาที่เหมาะ ๆ ยากครับ ในตอนแรกผมตั้งใจจะไปกางตรงที่ใกล้ๆ กับจุดเดิมที่เราเคยกางกัน มันจะมีรากของต้นสนที่โค่นล้ม เป็นที่บังลมได้ แต่พอเข้าไปดูครั้งนี้มันแฉะไปด้วยน้ำแล้วครับ พอไปดูอีกด้านของลานสน ก็ต้องตกใจกับเต้นท์ที่กางติดกันเป็นดงเลย คณะใหญ่มากๆ จนเราได้ที่กางเต้นท์เหมาะๆ ซึ่งหาที่ยากมากเพราะ เราต้องระวังน้ำ เพราะฝนลงเม็ดตลอด มีทั้งฝนทั้งน้ำค้าง และลมแรงมากๆ เราพลาดที่เตรียมผ้าใบมาแค่ผืนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วควรมีไม่น้อยกว่า 2 ผืน เพื่อรองไว้ใต้เต้นท์ผืนนึงและ คลุมเต้นท์อีกผืนนึง เราตั้งเต้นท์ในแนวเดียวกับลม หันหน้าเต้นท์ชนกัน เพื่อเว้นช่องตรงกลางไว้สำหรับทำกับข้าว
อาหารมือแรกนี้เป็นผัดคะน้าหมู ดูน่ากินมั้ย ปีนี้เราหุงข้าวกันด้วย การนึ่ง เอาชามใส่ในกระทะ และใส่น้ำ หาฝาปิด ไม่นานข้าวก็สุกและสวยได้อย่างใจเลยครับ หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เอาล่ะขอหม่ำซะหน่อยแล้วกัน คืนนี้อากาศหนาว ต้องนอนขดกันในเต็นท์ แถมมีลมพัดแรงอีก ทรมานจริงๆ แต่กรุ๊ปของเรายังไม่หนักเท่ากรุ๊ปของน้องผู้หญิงจาก ม.ธรรมศาสตร์ ที่มากันแบบไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างเลย เต้นท์ที่น้องเขาเตรียมมาเป็นเต้นท์ที่กันน้ำไม่ได้ และไม่มีผ้าใบ ไม่มีเตาแก๊ส เขาคิดว่าจะมีเตาถ่านให้เช่า และพอหาไม้มาทำฟืนได้ แต่พอขึ้นมาน้องๆ คงอยากจะร้องไห้และอยากลงไปเสียวันนี้เลย เจ้าหน้าที่เขาจึงให้น้องๆ กลุ่มนี้ไปนอนกันในที่ทำการ ซึ่งมีครัวอยู่ด้านหลังทำกินกันในนั้นเลย ซึ่งน้องๆ เขาก็อยู่กันแค่คืนเดียว และก็ลง เพราะเจอกับสภาพแบบนี้เขาอยู่กันไม่ได้จริงๆ
วันที่ 2
ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้ทำไรมาก เดินสำรวจหามุมถ่ายรูป แต่ก็ผิดหวังเล็กน้อย เพราะว่าหมอกหนามาก หาวิวสวยๆ แปลกๆ ยาก ถ้าถ่ายได้จริงๆก็จะเป็นพวกดอกไม้ เน้นรายละเอียด เหมาะกับพวกชอบ macro มากๆครับ แสงอ่อนๆ อากาศครึ้มๆ หลังจากนั้นก็กลับมาเติมพลังที่เต้นท์ก่อน ด้วยปลานิลทอดเกลือ คงเอามาปิ้งย่างอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้เพราะว่า ไม่มีฟืนแห้งๆเลย ทุกอย่างเปียกและชื้นหมด เลยต้องทอดเอาครับ ปลานิล 2 ตัวก็เต็มกะทะเลย เล่นเอาน้ำมันพืชที่เตรียมมา เกือบหมดขวด
มาดูพ่อครัวแม่ครัวของทริปนี้บ้าง 1. นายก๊องมือทอด 2. นายน๊อตมือเชือด 3. น้องออยมือล้าง
เมนูที่ 2 เป็นรวนหมูครับ ใส่ใบมะกรูดนิดหน่อย เพื่อเพิ่มความหอม เป็นเครื่องเคียงกับเนื้อหมูนิดหน่อย
หลังจากกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็พากระเพาะน้อย ๆ ไปย่อยอาหารกันซักหน่อย เราก็เดินไปรอบๆ ลานสน เพื่อสำรวจพื้นที่ และถ่ายรูป ช่วงนี้ฝนก็ยังตกอยู่เล็กน้อย เม็ดไม่ใหญ่มาก พอมีโอกาสถ่ายรูปได้ หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เสื้อกันฝนพร้อม ร่มพร้อม เราก็ออกไปหามุมถ่ายภาพลานสน ดอกหงอนนาค และพันธ์ไม้อื่น ๆ แต่ก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยเมื่อฝนที่ตกติดต่อกันทำให้แสงแดด ไม่ส่องลงมาด้วย ทำให้ดอกไม้ไม่บาน และบางดอกก็เฉาแล้ว
บ้างก็มีดอกที่บานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สวยเท่าไหร่ ลมก็พัดอยู่เรื่อยๆ ลมค่อนข้างแรง มีต้นไม้ที่อยู่ตรงริมสุดของลานสนหักล้มด้วยน่ากลัวจริงๆ ซึ่งต้นขนาดคนโอบถูกฉีดเป็น 2 ท่อนอย่างที่เห็นเลยครับ
home drug test accuracy may be used to help identify unknown metals. title=”พิชิตภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อุตรดิษฐ์” src=”https://talk2trip.com/wp-content/uploads/2008/08/IMG_6957-150×150.jpg” alt=”ภูสอยดาว” width=”150″ height=”150″ />
เสาหลักแบ่งเขตไทย-ลาว เสาหลักนี้อยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของลานสน ซึ่งที่เราทราบที่ภูสอยดาวมีอยู่ 2 หลักด้วยกัน มีอยู่ที่ลานสน 1 เสา และ บนยอดภูสอยดาวอีก 1 หลัก
หลังจากเดินถ่ายรูปรอบๆแล้ว ก็กลับมาทำอาหารกินกันต่อ
มือนี้ก็กินกันให้เต็มที่ มีอะไรก็พยายามทำให้หมด กินให้เกลี้ยง เพราะพรุ่งนี้ต้องเก็บเต้นท์ลงกันแล้ว ขณะที่ทานข้าวไปก็มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ช่างได้บรรยากาศซะจริงๆ แล้วต้องเอาไม้ทำเป็นคานเพื่อไม่ให้น้ำมาขังอยู่ตรงกลางผ้าใบ พื้นก็เปียกแฉะ ต้องนั่งยอง ๆ ดูทรมานจริงๆ อากาศที่ชื้น มากับความหนาวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คืนนี้ก็ต้องนอนเพื่อเก็บพลังไปไต่ลงเขาในวันต่อไป
อรุณสวัสดิ์ เช้าวันที่ 3
ตื่นมาก็ทำอาหารง่ายๆ กินเพื่อไม่ให้ท้องว่าง จากนั้นก็จัดแจงเก็บสัมภาระเก็บเต้นท์ และอื่นๆ จัดของที่จะให้ลูกหาบ ๆ ลงเขา อะไรที่เราสามารถขนไปเองได้ก็ ใส่กระเป๋าไปคนละใบ ขณะเก็บเต้นท์ฝนก็ยังตกไม่หยุด ทำให้เต้นท์เปียกและ น้ำหนักมาก
กรุ๊ปอื่นก็เช่นกัน เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวลงกันวันนี้เช่นกัน ซึ่งบางกลุ่มลงกันตั้งแต่เช้า ส่วนสัมภาระก็ต้องแยกไว้ให้ลูกหาบ หาบลง ลูกหาบบางคนเราเห็นแล้วก็ สงสารเขาเหมือนกันเพราะว่า นักท่องเที่ยวเขาไม่เอาอะไรติดตัวกันไปเลย ซึ่งลูกหาบก็มีไม่พอกับจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้ ลูกหาบคนๆหนึ่งต้องแบกของหนักเกินกว่า 50 กิโล ซึ่งในนั้นก็มีผู้หญิงและเด็กด้วย ?แต่ยังไงเราก็อดชื่นชมเขาไม่ได้เช่นกัน กว่าเขาจะได้เงินนี่ลำบากมาก และยิ่งลำบากมากไปอีกเพราะ ในช่วงนี้ฝนตก ทางเดินลื่น ทำให้เดินลำบาก และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เราเองก็ยังนึกอยู่ในใจว่า ถ้าที่นี่ไม่มีลูกหาบ คนจะเยอะแบบนี้มั้ย?? ทุกคนที่อ่านคงรู้คำตอบกันดี เราเก็บเต้นท์กันได้ช้า เพราะว่าฝนที่ตกอยู่ตลอดเวลา และพื้นก็ลื่นและเปียกแฉะ เมื่อเราเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลูกหาบของเราก็มาแล้ว เราก็เดินลงกันเลย ให้ลูกหาบตามเรามา เพราะเขาต้องรอหาบของ แทนลูกหาบอีกกรุ๊ปหนึ่งที่ไม่ขึ้นมาด้วย
ก่อนลงก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับ “ป้ายผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว” ที่ใครๆ เขาก็ถ่ายกัน ดูเหมือนขบวนการพิทักษ์โลกเลย เสื้อกันฝนที่ใส่ก็คนละสีกัน
ตลอดทางก็จะลื่น และเป็นโคลน และหมอกฝน ก็หนาจนมองไม่เห็นอะไรเลย จะเอากล้องออกมาถ่ายทีต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะว่ากลัวน้ำจะเข้ากล้อง มีละอองฝนปลิวมาทำให้หน้าเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา
บริเวณเนินมรณะ ที่ชันและลื่น เวลาลงต้องเอามือเกาะกับกิ่วไม้ใบหญ้า เพื่อช่วยพยุงตัว บ้างก็เจอกับโคลนที่สูงมิดข้อเท้าเลย เนื่องจากเป็นดินที่ไหลลงมาตาม ทางเดินที่คนเดินลงมาทับถมกันจนหนา รองเท้าที่เหมาะแก่การใช้ปีนเขาจะเป็นรองเท้าข้าวโพด ที่ลูกหาบเขาใส่กัน ลักษณะจะเป็นรองเท้าหุ้มส้น ทำด้วยยาง พื้นลองเท้าจะเป็นตุ่มๆ เหมือนฝักข้าวโพด ทำให้มีการยืดเกาะพื้นได้ดีกว่ารองเท้าผ้าใบธรรมดา รองเท้าที่ไม่แนะนำเลยคือรองเท้าแตะ เพราะทำให้ฝ่าเท้ากับพื้นรองเท้าไม่ยืดติดกัน เสี่ยงต่อการลื่นล้มได้ การเดินด้วยเท้าเปล่าก็เช่นกัน อาจถูกหิน กิ่งไม้ที่มีคมบาดเอาได้
มาถึงจุดพักที่เนินปราบเซียน จะเห็นชัดเลยว่า เมฆหมอกนั่นจะปกคลุมเฉพาะส่วนบนของภูเขาเท่านั้น น้ำที่ต้นไม้คายออกมา จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จนเห็นได้ชัดเลยว่าเหมือนมีเป็นควันจากกองไฟที่ลอยขึ้นมา อากาศค่อนข้างเย็นและชื้น ทำให้เห็ดเจริญเติบโตได้ดี เราจะพบกับเห็นนานาชนิด ที่ผุดขึ้นตามพื้น ตามโคนไม้ เปลือกไม้
เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้วเราก็เร่งเดินต่อ จนมาทันกลุ่มที่ออกกันมาแต่เช้า ซึ่งมีคนที่เจ็บข้อเท้าอยู่คนหนึ่ง ทำให้เดินได้ช้า และเขาไม่ถึกแบบกรุ๊ปเราด้วย พอถึงจุดที่เป็นทางแคบ ทำให้เดินได้ช้า เพราะต้องรอคนที่อยู่หน้าเดินไปก่อน จากที่ได้พูดคุยกับพี่ที่อยู่กรุ๊ปหน้า เขาได้บ่นๆไว้ว่าไม่เคยมาที่นี่ “เคยไปแต่ภูกระดึง เคยคิดว่าภูกระดึงมันลำบากและเดินยากแล้ว มาเจอที่นี่เทียบกันไม่ได้เลย เหนื่อยและหนักกว่าเยอะ ใจอยากลงตั้งแต่วันแรกแล้วแต่ มีเพื่อนปวดขา เลยต้องนอนอยู่อีกคืน เพื่อให้อาการดีขึ้น และทำอะไรกินไม่ได้เลยเพราะลมแรง และฝนตกตลอด ออกจากเต้นท์ไม่ได้ ต้องต้มมาม่ากินกันในเต้นท์”?เราก็ได้แต่ยิ้มๆ หึหึ ?มีที่โหดกว่านี้อีกครับพี่ นี่ยังน้อย 555 ?ทางตรงช่วงนี้ เดิมทีมีสะพานไม้ข้ามลำน้ำ แต่เนื่องจากน้ำที่มีปริมาณมาก ทำให้สะพานขาดหายไป และได้มีการนำหินมาวางคล้ายๆ กับแนวกั้นน้ำ เพื่อเป็นทางเดิน ในตอนแรกก็ไม่คิดว่า จะต้องเดินทางนี้ แต่ดูแล้วว่า ไม่มีทางอื่นที่จะข้ามไปได้ ทุกคนก็ต้องลุยน้ำกันหมด ซึ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เนื่องจากหินที่วางๆ อยู่ไม่ได้ยืดไว้อย่างแน่นหนา มันสามารถขยับเขยื่อนได้ เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ล้างเนื้อล้างตัว ล้างขาที่มอมแมมเต็มที ถึงตรงนี้ก็ใกล้ถึงที่ทำการอุทยานฯแล้ว
พอได้ล้างหน้าแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ มีละอองน้ำจากน้ำตกกระเซ็นมาถูกผิวทำให้ รู้สึกเย็นสดชื่นและหายเหนื่อย หายร้อนได้ไวขึ้น หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้วก็ ใช้แรงฮึดสุดท้ายเดินกันต่อ เพราะอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว
พอลงมาถึงที่ทำการอุทยาน ก็ต้องตะลึงๆๆ อีกครั้ง กับจำนวนรถตู้ และคนที่หลั่งไหลกันมา เราเดินตามพวกเขามาติดๆเลย เพราะว่าบางกลุ่มก็เพิ่งถึง ยังอาบน้ำกันไม่เสร็จ เมื่อเรามาถึงก็ ดิ่งไปหารถที่เราเหมาไว้ จากนั้นก็จัดแจงอาบน้ำ ชำระล้างร่างกาย ที่ไม่ได้อาบมา 2 วันเต็มๆ เหอๆๆ รู้สึกสดชื่นสุดๆ เมื่ออาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ก็หาอะไรทานรองท้อง เพราะว่าเราต้องเดินทางไปพิษณุโลกเลย จะไม่ได้หยุดพักทานที่ไหน ถ้าเกิดเราไปถึงที่นั่นแล้ว จะต้องจองตั๋ว ซึ่งอาจไม่มีเวลาหาอะไรทานกัน
จากนั่นก็รอสัมภาระที่ลูกหาบ เมื่อเช็กสัมภาระแล้วพบว่า ฝากล่องเตาแก๊สเราแตก เพราะลูกหาบลื่นล้ม แต่เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเข้าใจและอุบัติเหตุมันอาจเกิดขึ้นได้ มีพวกของกินที่เรานำมาแต่ไม่ได้เอามาทำ พวกปลากระป๋อง อาการกระป๋อง เราได้ยกใหู้ลูกหาบไปหมด เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยที่ต้องเอื้อเฝื้อกัน ซึ่งเราก็ทำแบบนี้ทุกครั้ง มีลูกหาบของกรุ๊ปหนึ่ง เขาลื่นเหมือนกัน และในนั่นมี เลนส์กล้อง ของนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย ทำให้เลนส์แตก โอ้โฮ หนักกว่าเราอีก อันนี้ผมว่า มันสุดวิสัยจริงๆ เพราะเขาไม่ใส่กระเป๋าของตัวเอง อันนี้ผมไม่ทราบว่าเขาว่ากันยังไง แต่ก็อยากเตือนให้นักท่องเที่ยว ที่ไปเที่ยว ให้เอาสิ่งของมีค่า หรือสิ่งของที่อาจมีการแตกหักได้ง่าย ไว้กับตัว ถ้าเราทำพังเอง ก็ถือว่าเป็นความผิดตัวเรา แต่ในกรณีนี้ ผมว่าเราจะไปเอาผิดกับลูกหาบให้เขาชดใช้ มันก็ดูเกินไป หลังจากจ่ายเงินค่าลูกหาบเรียบร้อยแล้ว เราก็ดิ่งขึ้นรถกันเลย หารู้ไม่ ผมลืมบัตรประชาชนไว้ที่ อุทยานฯ ผมมาทราบอีกที หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ มี จม. ส่งหาผมที่บ้าน ซึ่งส่งมาจาก จ.อุตรดิษฐ์ เปิดออกมาเป็นบัตรประชาชน ผมต้องขอบคุณทางเจ้าหน้าที่อุทยานไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ส่งบัตรประชาชนมาให้ครับ
หลังจากนั้น เราก็ตัดสินใจกันว่า จะกลับโดยรถไฟหรือรถประจำทางดี ซึ่งพี่ที่เราเหมารถเขาไป ได้โทรถามกับทางสถานีรถไฟ ซึ่งคำตอบที่ได้คือมีรถไฟ แต่ไม่ใช้รถฟรี เป็นรถด่วนธรรมดา ออกเวลา 4 ทุ่มครึ่ง เราก็ตกลงที่จะกลับรถไฟ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะเรามีวันหยุดพัก พรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง จึงไม่รีบ หลังจากเก็บสัมภาระลงจากรถเรียบร้อยแล้ว ก็ซื้อตั๋วรถไฟไว้ แล้วก็ไปเดินตลาดพิษณุโลก ที่หน้าสถานีรถไฟพิษณุโลก มีหัวรถจักรตั้งอยู่ แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ไปเดินตลาดแล้วเห็นอะไรก็อยากกินไปหมด เหมือนอดอยากมาจากดอย ภาพด้านบนเป็นข้าวห่อ ที่ขึ้นชื่อมากๆ ผมเห็นมีอยู่ 3 ร้านติดๆ กันเลย มีป้ายที่รายการนั้นรายการนี้มาถ่าย เป็นข้าวห่อข้าวเหนียว มีหลายหน้าให้เลือก มีหน้าหมู, เนื้อ,ไก่, หมูแดง,หมูยอ, หมูกระเทียม, เนื้อรวน, มีน้ำพริกให้ด้วย โอ้ววว เห็นแล้วน่ากิน ห่อละ 10 บาท เท่านั้นเอง ผมว่า ถ้าขายใน กรุงเทพฯ ก็คงจะ 15 -20 บาทแน่ๆ
ตรงนี้เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด ผลไม้แพกละ 15 บาท ใส่กรอกไม้ละ 5 บาท ว้าว ดูน่ากินจัง
เอาตั๋วรถไฟมาอวดกันซักหน่อย เป็นอันรู้กันว่านี่คือสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ของเราแล้ว อิอิ ออกแนวโปรโมตเสื้อซักเล็กน้อย เพราะ 4 คนที่ไปจะมีเสื้อ เด็กไอทีคลับ.คอม ใส่กันทุกคน เดี๋ยวทริปหน้า อาจจะเป็นเสื้อ Talk2Trip.com ก็เป็นได้
ค่ารถไฟ คนละ 168 บาท ว้าวว ประหยัดไปได้หลายตังส์เลยครับ ทำให้เงินกองทุนที่เรามาในทริปนี้ เหลือพอจะไปซื้อโน้นซื้อนี่กินอีกเยอะเลย
ไม่ได้ถ่ายรูปรถขบวนที่นั่งมาเลย เพราะรีบไปหน่อย เพราะรถไฟจะจอดอยู่ไม่กี่นาที ก็ออก และสัมภาระเราค่อนข้างเยอะ จึงต้องรีบขนขึ้น ตู้ที่เรานั่งเป็นตู้สุดท้ายเลยครับ โอ้โฮ ไกลมากและคนเยอะมาก และบรรยากาศบนรถไฟก็เหมือนเดิมครับ มีคนขายของตลอด ข้าวผัด ข้าวไข่ดาว ผมไม้ น้ำ แบบว่าเดินกันทั้งคืน แต่เสบียงที่เราเตรียมไป ยังกับไปปิกนิกเลย ของกินเยอะมาก?กินกันแบบไม่เกรงใจคนรอบข้าง ที่เขาแอบมองแล้วต้องกลืนน้ำลายตาม เหอๆ
กินอิ่ม เราก็นอน(ไม่ค่อย)หลับ เพราะรถไฟเสียงดัง และเรานั่งชั้น3 กันทำให้เอียงตัวนอนได้ยาก แต่ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่งของการท่องเที่ยว ใครที่ยังไม่เคยนั่งรถไฟ ก็ลองนั่งดูซักครั้งนะครับ เราถึงอยุธยากันตอน ตี 4 กว่าๆ ซึ่งไวกว่าที่คิด
สำหรับทริปนี้ก็ต้องจบลงเพียงเท่านี้ เดี๋ยวหัวข้อต่อไปผมจะสรุปเกี่ยวกับการเดินทางในทริปนี้ครับ ตามหัวข้อด้านล่างเลย แล้วเจอกันทริปต่อไป?..
คนมีทริป,
การเดินทาง,
ค่าใช้จ่าย,
อุปกรณ์ที่ต้องใช้,
ปัญหา-อุปสรรค,
2 thoughts on “ทริป! ภูสอยดาว, 8-12 ส.ค. 51”
ชอบมากม๊าก