หลังจากที่พวกเราได้มาถึงจุดสำหรับกางเตนท์เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มมองสำรวจพื้นที่โดยรอบ ว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง ที่เราเห็นได้ชัดและเป็นเป้าหมายสำคัญของเราในครั้งนี้ก็คือ ยอดดอยภูแว เขาลูกนี้แหละที่เราต้องการพิชิต ภาพที่เคยได้เห็น ไม่แต่งต่างอะไรกับสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า ภูเขาลูกนี้ไร้ซึ่งต้นไม้ใหญ่ มีแต่กอหญ้าและก้อนหินที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ ไม่ว่าหันไปทางทิศไหนก็จะพบกันหุบเขา อันกว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศด้านบนนี้เย็นสบาย อากาศกำลังสดชื่น เป็นกลิ่นไอบริสุทธิ์จากธรรมชาติ
เมื่อได้พักสูดหายใจให้เต็มปอดแล้ว ก็เิริ่มออกตามล่าความฝันต่อ เราเริ่มเดินขึ้นสู่ยอดดอยภูแว เส้นทางที่ขึ้นไม่ได้มีแค่ทางเดียว อยู่ที่ว่าใครจะขึ้นทางไหน เพราะเป็นพงหญ้าที่ขึ้นอยู่จนมองไม่เห็นทางที่ผู้คนเคยเดินและแล้วก็มาถึงที่สุดแห่งภูแว จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุด ที่เราสามารถขึ้นไปได้ กระแสลมที่พัดพาเอาลมหายใจของต้นไม้ใบหญ้า ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ ช่างสดชื่นเหลือเกิน มุมมอง 360 องศา ที่ไม่ว่าทิศด้านไหนก็รายล้อมไปด้วยภูผา ด้านตะวันตก มีจุดสีขาวๆ แทรกแซมอยู่เป็นจุดๆ นั่นเป็นหมู่บ้านของชาวเขา และภูเขาบางช่วงก็มีการถกถาง เพื่อทำการเกษตร ณ จุดนี้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน แม้ว่าแสงแดดตอนบ่าย 3 โมง จะค่อนข้างแรง แต่เรากลับไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ดวงอาทิตย์โอบอุ้มเราไว้ แต่อีกนานกว่าจะเห็นอาทิตย์อัสดง เราจึงลงไปทำอาหารเติมพลังกันก่อน เพราะัวันนี้ทั้งวันเรายังไม่ได้กินอาหารให้เต็มท้องเลยแม้แต่มื้อเดียว
และอาหารที่จะทำให้เราอิ่มก็เป็นสุกี้ร้อนๆ ที่ฉ่ำไปด้วยน้ำและผัก หมูที่เรานำมาก็ไม่เสียหาย แม้จะมีกลิ่นตุๆ แต่เมื่อล้างแล้วก็รู้สึกได้ว่า มันอร่อยขึ้นจนรับรสได้ ช่างเป็นอะไรที่อุตสาหะเหลือเกิน เอาสุกี้มากินกันบนยอดเขา โอ้วว จะไปหากินที่ไหนได้อีกในชีวิตนี้
ประมาณ 4 โมงครึ่ง เราก็ขึ้นมาเพื่อรอดูพระอาทิตย์ทอแสงเป็นครั้งสุดท้าย เราเคยมีประสบการณ์ที่พลาดเห็นแสงพระอาทิตย์มาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะประมาณว่ามันคงไม่ตกไว อย่างเป็นบ้านเรา กว่าพระอาทิตย์จะหมดแสงก็ ราวๆ 6 โมงครึ่ง แต่บนเขาบนดอยไม่ใช้ 5 โมงเย็นก็จะเริ่มมืดแล้ว เราจึงต้องรีบขึ้นมาเพื่อแสงแปลกๆ
ตอนนี้มีอีกคณะหนึ่งเขาได้ขึ้นตามเรามาติด ๆ ก็ขึ้นมาุ่ถ่ายรูปด้วยเช่นกัน แต่คณะหลังที่ตามมา กว่าเขาจะมาถึง ณ จุดกางเตนท์ก็ใกล้มืดแล้ว เขาจึงไม่ได้ขึ้นมาบนยอดในวันนี้ พอท้องฟ้าเริ่มมืด อากาศก็เย็นลง ทันทีด้วยความที่เราเหนื่อยมาทั้งวัน และรู้สึกร้อนที่ต้องเดินขึ้นมา ทำให้ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวกันมาเลย ในขาลงแข้งขาก็เริ่มสั่น เพราะอากาศหนาวจริงๆ แค่ไม่กี่นาที จากความอบอุ่นเปลี่ยนเป็น หุบเขาที่เย็นเยือก ทุกอย่างเงียบ มีเสียงสัตว์ปีกตัวน้อยออกหากิน ส่งเสียงร้อง อีกด้านนึงของหุบเคืขา เนรามองเนี้ห็นแหสงสีแลัดงเงป็นจุดๆ เป็นกองไฟที่ชาวเขาจุดขึ้นเพื่อประทังความหนาว คืนนี้หลังจากที่เรากินอาหารเย็นแล้ว เราก็นั่งผิงไฟแล้วเข้านอน ด้วยความเหนื่อย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมเองตื่นตั้งแต่ ตี 4 แต่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ทุกอย่างเงียบสงัด เมื่อโผ่หน้าออกมานอกเต้นท์แล้วรู้สึกไม่อยากออกไปไหนเลย เพราะมองไม่เห็นแม้แต่เต้นท์ที่อยู่ข้างๆ ผมรอจา ใกล้ 6 โมงจึงปลุกสองสหายให้ออกจากเต้นท์เพื่อไปชมอาทิตย์ของวันใหม่ วันนี้เมฆไม่มากนัก แสงที่ได้ไม่สวยเท่าที่ใจอยาก ในอีกมุมหนึ่งซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีทะเลหมอก ก็กลับเห็นเพียงไอหมอกบางๆ ที่ล่องลอยไปตามกระแสลม พืชพันธ์ต่างๆ ก็ตื่นมาเพิ่มรับแสงแดดยามเช้า ดูดซืมน้ำค้าง ที่ทำให้ผืนดินนี้ชุ่มชื้น ทิวเขาดูเงียบสงบ มีกระแสลมพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา ทุ่งหญ้าพากันเล่นดนตรีประสานเสียง ดั่งดนตรี Mozart ที่ขับกล่อมพาให้ใจเราเคลิบเคิ้ม
เมื่อแดดจ้า ทุกคนก็ตื่นมาหุงหาอาหารกิน เจ้าหน้าที่ได้นำกระบอกไม้ไผ่ ที่ตัดมาเมื่อเช้าตรู่ มาหุงข้าวให้เรา นี่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยแท้ เราเคยกินแต่ข้าวหลาม ที่เอาข้าวเหนียวใส่ในกระบอกข้าวหลามแล้ว เผาให้สุก เนื่องจากใยไผ่ที่อยู่บนภูเขา ไม่หนาเฉกเช่นไผ่ที่บ้านเราใช้มาทำข้าวหลาม เขาจึงนำใบตอง ใส่ซ้อนเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ ทำให้ข้าวที่กรอกลงไปไม่ติดกับไม้ไผ่
เราตัดสินใจอยู่บนนี้ 2 วัน ซึ่งก็มากกว่าทุกกลุ่มที่ขึ้นมา มีกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นมาเมื่อวานพร้อมๆ เรา แต่เขามาถึงที่หลังเรา เขาได้เก็บสัมภาระลงในตอนเช้า เนื่องจากเขาเตรียมเสบียงมาไม่พอ น้ำก็ใกล้หมด และห้องน้ำก็ไม่มี จึงต้องตัดใจลงในวันรุ่งขึ้น ผมเองได้ขึ้นไปที่ยอดดอยภูแวอีกครั้งเืพื่อถ่ายภาพ ท้องฟ้าวันนี้โปร่งมาก และแดดก็ค่อยข้างแรง บนนี้ไม่มีต้นไม้ที่พอให้ร่มเงาได้ โชคดีของเราที่ได้นำผ้าใบมา จึงได้มีร่มเงาให้พอหลบแดดได้ อาหารกลางวันที่เราทำกันก็เป็นอะไรที่ง่ายๆ เช่นยำ หรือผัดที่สามารถทำได้ มะนาวที่ซื้อมาก็ได้ใช้เสียที เป็นที่น่าแปลกใจ มะนาวที่นี่ไม่มีเมล็ด และลูกใหญ่มาก น้ำก็เยอะ จากนั่นเราก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะข้างบนนี้เราไม่สามารถไปไหนได้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาโล่งๆ และบางที่ก็ยังไม่ได้ทำการสำรวจ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีน้ำตกอยู่้ข้างล่าง แต่ถ้าจะไปต้องออกกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะระยะทางค่อยข้างลำบากและเดินทางยาก ซึ่งเราเองก็ไม่ทันได้เตรียมตัว จึงไม่ได้ไป หลังจากที่ทานอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ขลุกตัวนอนกันอยู่ในเต้นท์ จนมาตื่นตอนที่ มีอีกคณะหนึ่งขึ้นมา เป็น “ทริปหารเฉลี่ย ดอยภูแว” จากเว็บ trakkingthai เขามากันพร้อมมากๆ เป็นคณะใหญ่มีไข่มาเป็นแพคๆ เครื่องครัวที่สามารถหุงหากินกันได้เป็นสิบๆ คน
เข้าคอนเซ็บ กินอิ่มนอนหลับ พอเรากินแล้ว เราก็นอน เพราะไม่รู้จะไปไหน รอเวลาเย็น เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินอีกครั้ง คราวนี้เราตระเตรียมเสื้อกันหนาวกันขึ้นไปด้วย จากที่มีประสบการณ์มาแล้วเมื่อวานนี้ เราขึ้นกันไปตั้งแต่ ยังไม่ 5 โมงเย็น เพื่อไปรอถ่ายรูป นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ก็ขึ้นตามมาเรื่อยๆ แสงวันนี้สวยสมใจมากครับ ตะวันทอแสงสีทอง สวยแปลกตาด้วยแนวลูกคลื่นของขุนเขาที่เรียงรายกันเป็นทอด ๆ
คืนนี้ได้เหล้าต้ม จากเจ้าหน้าที่มาขวดหนึ่ง เป็นข้าวต้มจากข้าวเหนียว กลิ่นแรงมากครับ แต่รสชาติก็ไม่เลว ไม่เหม็น กินไม่ยากเท่าไหร่ คล้ายๆ เหล้าขาว แต่ดีกรีแรงกว่าเยอะครับ ขวดที่เจ้าหน้าที่เอามาเป็นแค่ขวด พลาสติกขนาดเล็ก ที่ใส่น้ำดื่ม แต่เรากินกัน 3 ก็ไม่ไหวแล้ว ผมเลยขอตัวไปนอนก่อน ส่วนอีก 2 คน นั่งชนอยู่กับเจ้าหน้าที่จนหมด คืนนี้ ผมหลับไปด้วยอาการมืน ๆ
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสวยมากครับ คุ้มแล้วในการมาครั้งนี้ อากาศตอนเช้าวันนี้ก็ ไม่หนาวเท่าไหร่ เพราะเราชินกันแล้ว แต่มีละอองน้ำค้างมากเป็นพิเศษ จนพื้นแฉะ ดูได้จากเต้นท์ของพี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่เขาไปตัดเอาใบไม้มาคลุมเต้นท์ แหม อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปไว้ ถือเป็นภูมิปัญญาเจ้าหน้าที่ 555+ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติดีมากเลยครับ จากนั้นเราก็ ทำอาหารเติมพลัง ให้เต็มท้อง เพื่อเดินทางกลับบ้าน ที่ลำบากหน่อยคือเต้นท์ของเราเปียกไปหมด มันเต็มไปด้วยน้ำ เราอยากให้มันแห้งลงซะหน่อยเพราะขืนมัดใส่ไปตอนนี้ มันต้องหนักมากแน่ๆ กว่าเราจะได้ลงกันก็ 9 โมงเช้า ซึ่งกลุ่มอื่นเขาลงไปกันตั้งแต่ 7 โมงแล้ว เพราะว่ากลุ่มเขามากันเยอะ เราเดินลงเป็นกลุ่มสุดท้าย
ขากลับก็มาถ่ายรูปกับต้นปรงที่ขึ้นโค้งๆอีกครั้งหนึ่ง
ขากลับเราได้เจอกับชายคนหนึ่ง เขาอายุ 50 กว่าปีแล้ว เขาเดินขึ้นมาตั้แต่เมื่อวาน ตอนบ่าย และได้พักนอนที่บ้านปู่ดู่ 1 คืน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางอุทยานจะไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาโดยลำพังโดยที่ไม่มีเ้จ้าหน้าที่ขึ้นมาด้วย ปู่คนนี้เขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากร อะไรนี่แหละ ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ เขาได้ลางาน 1 อาทิตย์ เพื่อมาพิชิตยอดดอยภูแว แม่เจ้าเราได้ลองฟังเขาเล่าประสบการณ์ เขาเคยไปปีนเขามาแล้วหลายที่ ซึ่งก็ถ้าเทียบกับคนอายุ 25 ก็คงไม่แปลกอะไร แต่นี่ปู่เขาอายุ 50 กว่าแล้ว ใกล้จะเกษียรแล้ว การมาครั้งนี้ของเขาไม่ได้บอกใคร เพราะกลัวตัวเองจะทำไม่ได้ ถ้าไปบอกคนอื่นไว้แล้วว่าจะมาปีนดอยภูแว ผมเชื่อว่าปู่ต้องไปถึงได้แน่ๆ เราก็ต่างอวยพรกันเช่นนั้น
พอเรามาถึงที่ทำการอุทยาน ก็ซดน้ำอัดลมกันไปคนละ 2 กระป๋องด้วยความอยาก ในขณะที่รอรถสองแถวมารับ เพื่อไปที่ ตัวเมืองน่าน หลังจากที่อาบน้ำอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ชำระค่า Service ให้กับเจ้าหน้าที่ ผมจะไม่ได้ว่าเท่าไหร่ 3 คน จะมีค่ากางเต้นท์, ค่าอุทยาน อันนี้เป็นค่าธรรมเนียมปกติที่เราต้องเสียกันอยู่แล้วในทุกๆ อุทยาน และที่นี่ก็มีบวกค่าบริการไปด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะขอบคุณเข้าหน้าที่ยังไง เพราะเขาก็ช่วยเราแบกของลงมา ซึ่งหนักมากครับ ลำพังผม 3 คน คงเอามาไม่ไหว
พอรถแดงมาถึงเราก็เก็บของขึ้นรถ และล่ำลาทุกคน ขากลับนี้ พี่เจ้าของรถเขาพาเรากลับอีกทางนึง ทางนี้จะผ่านศาลเจ้าพ่อ….ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นที่ๆ มีต้นชมพูภูคาด้วยครับ แต่ในช่วงที่เราไปไม่เห็นดอกมันแล้ว จะเห็นแต่เพียงต้นและภาพที่มีคนถ่ายไว้ให้ดูเท่านั้น พวกผมมาถึงที่สถานีขนส่ง จ.น่าน ประมาณ 5 โมงครึ่ง ซึ่งตอนแรกที่วางแผนไว้ว่าจะเดินเมืองน่านอีกรอบ แต่เนื่องจากมันไกลจากสถานีมาก เลยไมได้ไป ไปจองตั๋วกลับกรุงเทพ และหาอะไรรองท้อง เพราะต้องเดินทางอีกไกลเลยล่ะ รถออกเวลา ทุ่มตรง มาถึงที่ นวนครประมาณ ตี 2 เห็นจะได้ จากนั้นก็กลับไปพักกันที่หอก่อนแล้วก็หลับเป็นตายเลยครับ
เหนื่อยแต่คุ้มมากจริงๆ กับการเดินทางครั้งนี้ “เมืองน่าน ดอยภูแว”
How to go:
รถยนต์ส่วนตัว จากอำเภอเมืองน่านใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 (น่าน-ปัว) เป็นถนนลาดยางระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากอำเภอปัวใช้ทางหลวงหมายเลข 1256 (อำเภอปัว-อำเภอบ่อเกลือ) ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตรจะถึงที่ทำการอุทยานฯ ติดต่อสอบถามสำนักงานป่าไม้เขตน่าน โทรศัพท์ 0 – 5471 – 0136 , 0 – 5471 – 0815
รถประจำทาง จากหมอชิต หรือ ที่อื่นๆ ให้นั่งไปลงที่ตัวเมืองน่าน จากนั้นเหมารถสองแถว ราคาจะอยู่ที่ 2,000-2,500 บาท เหมาไปกลับ นัดเวลาไปรับด้วยครับ ไปส่งที่ทำการอุทยานดอยภูคา
One thought on “เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน ฟ้าแดง”
Pingback: ม อ ง ข้ า ม - MoreMeng.in.th | MoreMeng.in.th