Menu

เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน ฟ้าแดง

September 22, 2008 - ทอล์คทูทริป
เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน ฟ้าแดง

หลังจากที่พวกเราได้มาถึงจุดสำหรับกางเตนท์เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มมองสำรวจพื้นที่โดยรอบ ว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง ที่เราเห็นได้ชัดและเป็นเป้าหมายสำคัญของเราในครั้งนี้ก็คือ ยอดดอยภูแว เขาลูกนี้แหละที่เราต้องการพิชิต ภาพที่เคยได้เห็น ไม่แต่งต่างอะไรกับสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า ภูเขาลูกนี้ไร้ซึ่งต้นไม้ใหญ่ มีแต่กอหญ้าและก้อนหินที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ ไม่ว่าหันไปทางทิศไหนก็จะพบกันหุบเขา อันกว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศด้านบนนี้เย็นสบาย อากาศกำลังสดชื่น เป็นกลิ่นไอบริสุทธิ์จากธรรมชาติ

IMG_5387 IMG_5388 IMG_5389 IMG_5390 IMG_5392 IMG_5398

เมื่อได้พักสูดหายใจให้เต็มปอดแล้ว ก็เิริ่มออกตามล่าความฝันต่อ เราเริ่มเดินขึ้นสู่ยอดดอยภูแว เส้นทางที่ขึ้นไม่ได้มีแค่ทางเดียว อยู่ที่ว่าใครจะขึ้นทางไหน เพราะเป็นพงหญ้าที่ขึ้นอยู่จนมองไม่เห็นทางที่ผู้คนเคยเดินและแล้วก็มาถึงที่สุดแห่งภูแว จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุด ที่เราสามารถขึ้นไปได้ กระแสลมที่พัดพาเอาลมหายใจของต้นไม้ใบหญ้า ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ ช่างสดชื่นเหลือเกิน มุมมอง 360 องศา ที่ไม่ว่าทิศด้านไหนก็รายล้อมไปด้วยภูผา ด้านตะวันตก มีจุดสีขาวๆ แทรกแซมอยู่เป็นจุดๆ นั่นเป็นหมู่บ้านของชาวเขา และภูเขาบางช่วงก็มีการถกถาง เพื่อทำการเกษตร ณ จุดนี้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน แม้ว่าแสงแดดตอนบ่าย 3 โมง จะค่อนข้างแรง แต่เรากลับไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ดวงอาทิตย์โอบอุ้มเราไว้ แต่อีกนานกว่าจะเห็นอาทิตย์อัสดง เราจึงลงไปทำอาหารเติมพลังกันก่อน เพราะัวันนี้ทั้งวันเรายังไม่ได้กินอาหารให้เต็มท้องเลยแม้แต่มื้อเดียว

IMG_5401IMG_5403IMG_5404IMG_5405
และอาหารที่จะทำให้เราอิ่มก็เป็นสุกี้ร้อนๆ ที่ฉ่ำไปด้วยน้ำและผัก หมูที่เรานำมาก็ไม่เสียหาย แม้จะมีกลิ่นตุๆ แต่เมื่อล้างแล้วก็รู้สึกได้ว่า มันอร่อยขึ้นจนรับรสได้ ช่างเป็นอะไรที่อุตสาหะเหลือเกิน เอาสุกี้มากินกันบนยอดเขา โอ้วว จะไปหากินที่ไหนได้อีกในชีวิตนี้

IMG_5408 IMG_5410 IMG_5411

ประมาณ 4 โมงครึ่ง เราก็ขึ้นมาเพื่อรอดูพระอาทิตย์ทอแสงเป็นครั้งสุดท้าย เราเคยมีประสบการณ์ที่พลาดเห็นแสงพระอาทิตย์มาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะประมาณว่ามันคงไม่ตกไว อย่างเป็นบ้านเรา กว่าพระอาทิตย์จะหมดแสงก็ ราวๆ 6 โมงครึ่ง แต่บนเขาบนดอยไม่ใช้ 5 โมงเย็นก็จะเริ่มมืดแล้ว เราจึงต้องรีบขึ้นมาเพื่อแสงแปลกๆ

IMG_5417 IMG_5419 IMG_5420 IMG_5422 IMG_5429IMG_5451

ตอนนี้มีอีกคณะหนึ่งเขาได้ขึ้นตามเรามาติด ๆ ก็ขึ้นมาุ่ถ่ายรูปด้วยเช่นกัน แต่คณะหลังที่ตามมา กว่าเขาจะมาถึง ณ จุดกางเตนท์ก็ใกล้มืดแล้ว เขาจึงไม่ได้ขึ้นมาบนยอดในวันนี้ พอท้องฟ้าเริ่มมืด อากาศก็เย็นลง ทันทีด้วยความที่เราเหนื่อยมาทั้งวัน และรู้สึกร้อนที่ต้องเดินขึ้นมา ทำให้ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวกันมาเลย ในขาลงแข้งขาก็เริ่มสั่น เพราะอากาศหนาวจริงๆ แค่ไม่กี่นาที จากความอบอุ่นเปลี่ยนเป็น หุบเขาที่เย็นเยือก ทุกอย่างเงียบ มีเสียงสัตว์ปีกตัวน้อยออกหากิน ส่งเสียงร้อง อีกด้านนึงของหุบเคืขา เนรามองเนี้ห็นแหสงสีแลัดงเงป็นจุดๆ เป็นกองไฟที่ชาวเขาจุดขึ้นเพื่อประทังความหนาว คืนนี้หลังจากที่เรากินอาหารเย็นแล้ว เราก็นั่งผิงไฟแล้วเข้านอน ด้วยความเหนื่อย

IMG_5471IMG_5477IMG_5499IMG_5502

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมเองตื่นตั้งแต่ ตี 4 แต่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ทุกอย่างเงียบสงัด เมื่อโผ่หน้าออกมานอกเต้นท์แล้วรู้สึกไม่อยากออกไปไหนเลย เพราะมองไม่เห็นแม้แต่เต้นท์ที่อยู่ข้างๆ ผมรอจา ใกล้ 6 โมงจึงปลุกสองสหายให้ออกจากเต้นท์เพื่อไปชมอาทิตย์ของวันใหม่ วันนี้เมฆไม่มากนัก แสงที่ได้ไม่สวยเท่าที่ใจอยาก ในอีกมุมหนึ่งซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีทะเลหมอก ก็กลับเห็นเพียงไอหมอกบางๆ ที่ล่องลอยไปตามกระแสลม พืชพันธ์ต่างๆ ก็ตื่นมาเพิ่มรับแสงแดดยามเช้า ดูดซืมน้ำค้าง ที่ทำให้ผืนดินนี้ชุ่มชื้น ทิวเขาดูเงียบสงบ มีกระแสลมพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา ทุ่งหญ้าพากันเล่นดนตรีประสานเสียง ดั่งดนตรี Mozart ที่ขับกล่อมพาให้ใจเราเคลิบเคิ้ม

IMG_5507IMG_5510IMG_5511IMG_5514IMG_5515

เมื่อแดดจ้า ทุกคนก็ตื่นมาหุงหาอาหารกิน เจ้าหน้าที่ได้นำกระบอกไม้ไผ่ ที่ตัดมาเมื่อเช้าตรู่ มาหุงข้าวให้เรา นี่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยแท้ เราเคยกินแต่ข้าวหลาม ที่เอาข้าวเหนียวใส่ในกระบอกข้าวหลามแล้ว เผาให้สุก เนื่องจากใยไผ่ที่อยู่บนภูเขา ไม่หนาเฉกเช่นไผ่ที่บ้านเราใช้มาทำข้าวหลาม เขาจึงนำใบตอง ใส่ซ้อนเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ ทำให้ข้าวที่กรอกลงไปไม่ติดกับไม้ไผ่

IMG_5518IMG_5525IMG_5526

เราตัดสินใจอยู่บนนี้ 2 วัน ซึ่งก็มากกว่าทุกกลุ่มที่ขึ้นมา มีกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นมาเมื่อวานพร้อมๆ เรา แต่เขามาถึงที่หลังเรา เขาได้เก็บสัมภาระลงในตอนเช้า เนื่องจากเขาเตรียมเสบียงมาไม่พอ น้ำก็ใกล้หมด และห้องน้ำก็ไม่มี จึงต้องตัดใจลงในวันรุ่งขึ้น ผมเองได้ขึ้นไปที่ยอดดอยภูแวอีกครั้งเืพื่อถ่ายภาพ ท้องฟ้าวันนี้โปร่งมาก และแดดก็ค่อยข้างแรง บนนี้ไม่มีต้นไม้ที่พอให้ร่มเงาได้ โชคดีของเราที่ได้นำผ้าใบมา จึงได้มีร่มเงาให้พอหลบแดดได้ อาหารกลางวันที่เราทำกันก็เป็นอะไรที่ง่ายๆ เช่นยำ หรือผัดที่สามารถทำได้ มะนาวที่ซื้อมาก็ได้ใช้เสียที เป็นที่น่าแปลกใจ มะนาวที่นี่ไม่มีเมล็ด และลูกใหญ่มาก น้ำก็เยอะ จากนั่นเราก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะข้างบนนี้เราไม่สามารถไปไหนได้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาโล่งๆ และบางที่ก็ยังไม่ได้ทำการสำรวจ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีน้ำตกอยู่้ข้างล่าง แต่ถ้าจะไปต้องออกกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะระยะทางค่อยข้างลำบากและเดินทางยาก ซึ่งเราเองก็ไม่ทันได้เตรียมตัว จึงไม่ได้ไป หลังจากที่ทานอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ขลุกตัวนอนกันอยู่ในเต้นท์ จนมาตื่นตอนที่ มีอีกคณะหนึ่งขึ้นมา เป็น “ทริปหารเฉลี่ย ดอยภูแว” จากเว็บ trakkingthai เขามากันพร้อมมากๆ เป็นคณะใหญ่มีไข่มาเป็นแพคๆ เครื่องครัวที่สามารถหุงหากินกันได้เป็นสิบๆ คน

IMG_5534IMG_5532

เข้าคอนเซ็บ กินอิ่มนอนหลับ พอเรากินแล้ว เราก็นอน เพราะไม่รู้จะไปไหน รอเวลาเย็น เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินอีกครั้ง คราวนี้เราตระเตรียมเสื้อกันหนาวกันขึ้นไปด้วย จากที่มีประสบการณ์มาแล้วเมื่อวานนี้ เราขึ้นกันไปตั้งแต่ ยังไม่ 5 โมงเย็น เพื่อไปรอถ่ายรูป นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ก็ขึ้นตามมาเรื่อยๆ แสงวันนี้สวยสมใจมากครับ ตะวันทอแสงสีทอง สวยแปลกตาด้วยแนวลูกคลื่นของขุนเขาที่เรียงรายกันเป็นทอด ๆ

IMG_5536 IMG_5538 IMG_5541 IMG_5542 IMG_5543 IMG_5547 IMG_5548 IMG_5549 IMG_5551 IMG_5552 IMG_5553 IMG_5559 IMG_5561 IMG_5563 IMG_5566 IMG_5570

คืนนี้ได้เหล้าต้ม จากเจ้าหน้าที่มาขวดหนึ่ง เป็นข้าวต้มจากข้าวเหนียว กลิ่นแรงมากครับ แต่รสชาติก็ไม่เลว ไม่เหม็น กินไม่ยากเท่าไหร่ คล้ายๆ เหล้าขาว แต่ดีกรีแรงกว่าเยอะครับ ขวดที่เจ้าหน้าที่เอามาเป็นแค่ขวด พลาสติกขนาดเล็ก ที่ใส่น้ำดื่ม แต่เรากินกัน 3 ก็ไม่ไหวแล้ว ผมเลยขอตัวไปนอนก่อน ส่วนอีก 2 คน นั่งชนอยู่กับเจ้าหน้าที่จนหมด คืนนี้ ผมหลับไปด้วยอาการมืน ๆ

IMG_5571 IMG_5573 IMG_5575 IMG_5576 IMG_5578 IMG_5579 IMG_5587

เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสวยมากครับ คุ้มแล้วในการมาครั้งนี้ อากาศตอนเช้าวันนี้ก็ ไม่หนาวเท่าไหร่ เพราะเราชินกันแล้ว แต่มีละอองน้ำค้างมากเป็นพิเศษ จนพื้นแฉะ ดูได้จากเต้นท์ของพี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่เขาไปตัดเอาใบไม้มาคลุมเต้นท์ แหม อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปไว้ ถือเป็นภูมิปัญญาเจ้าหน้าที่ 555+ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติดีมากเลยครับ จากนั้นเราก็ ทำอาหารเติมพลัง ให้เต็มท้อง เพื่อเดินทางกลับบ้าน ที่ลำบากหน่อยคือเต้นท์ของเราเปียกไปหมด มันเต็มไปด้วยน้ำ เราอยากให้มันแห้งลงซะหน่อยเพราะขืนมัดใส่ไปตอนนี้ มันต้องหนักมากแน่ๆ กว่าเราจะได้ลงกันก็ 9 โมงเช้า ซึ่งกลุ่มอื่นเขาลงไปกันตั้งแต่ 7 โมงแล้ว เพราะว่ากลุ่มเขามากันเยอะ เราเดินลงเป็นกลุ่มสุดท้าย

IMG_5590IMG_5597

ขากลับก็มาถ่ายรูปกับต้นปรงที่ขึ้นโค้งๆอีกครั้งหนึ่ง

IMG_5599

ขากลับเราได้เจอกับชายคนหนึ่ง เขาอายุ 50 กว่าปีแล้ว เขาเดินขึ้นมาตั้แต่เมื่อวาน ตอนบ่าย และได้พักนอนที่บ้านปู่ดู่ 1 คืน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางอุทยานจะไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาโดยลำพังโดยที่ไม่มีเ้จ้าหน้าที่ขึ้นมาด้วย ปู่คนนี้เขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากร อะไรนี่แหละ ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ เขาได้ลางาน 1 อาทิตย์ เพื่อมาพิชิตยอดดอยภูแว แม่เจ้าเราได้ลองฟังเขาเล่าประสบการณ์ เขาเคยไปปีนเขามาแล้วหลายที่ ซึ่งก็ถ้าเทียบกับคนอายุ 25 ก็คงไม่แปลกอะไร แต่นี่ปู่เขาอายุ 50 กว่าแล้ว ใกล้จะเกษียรแล้ว การมาครั้งนี้ของเขาไม่ได้บอกใคร เพราะกลัวตัวเองจะทำไม่ได้ ถ้าไปบอกคนอื่นไว้แล้วว่าจะมาปีนดอยภูแว ผมเชื่อว่าปู่ต้องไปถึงได้แน่ๆ เราก็ต่างอวยพรกันเช่นนั้น

พอเรามาถึงที่ทำการอุทยาน ก็ซดน้ำอัดลมกันไปคนละ 2 กระป๋องด้วยความอยาก ในขณะที่รอรถสองแถวมารับ เพื่อไปที่ ตัวเมืองน่าน หลังจากที่อาบน้ำอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ชำระค่า Service ให้กับเจ้าหน้าที่ ผมจะไม่ได้ว่าเท่าไหร่ 3 คน จะมีค่ากางเต้นท์, ค่าอุทยาน อันนี้เป็นค่าธรรมเนียมปกติที่เราต้องเสียกันอยู่แล้วในทุกๆ อุทยาน และที่นี่ก็มีบวกค่าบริการไปด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะขอบคุณเข้าหน้าที่ยังไง เพราะเขาก็ช่วยเราแบกของลงมา ซึ่งหนักมากครับ ลำพังผม 3 คน คงเอามาไม่ไหว

พอรถแดงมาถึงเราก็เก็บของขึ้นรถ และล่ำลาทุกคน ขากลับนี้ พี่เจ้าของรถเขาพาเรากลับอีกทางนึง ทางนี้จะผ่านศาลเจ้าพ่อ….ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นที่ๆ มีต้นชมพูภูคาด้วยครับ แต่ในช่วงที่เราไปไม่เห็นดอกมันแล้ว จะเห็นแต่เพียงต้นและภาพที่มีคนถ่ายไว้ให้ดูเท่านั้น พวกผมมาถึงที่สถานีขนส่ง จ.น่าน ประมาณ 5 โมงครึ่ง ซึ่งตอนแรกที่วางแผนไว้ว่าจะเดินเมืองน่านอีกรอบ แต่เนื่องจากมันไกลจากสถานีมาก เลยไมได้ไป ไปจองตั๋วกลับกรุงเทพ และหาอะไรรองท้อง เพราะต้องเดินทางอีกไกลเลยล่ะ รถออกเวลา ทุ่มตรง มาถึงที่ นวนครประมาณ ตี 2 เห็นจะได้ จากนั้นก็กลับไปพักกันที่หอก่อนแล้วก็หลับเป็นตายเลยครับ

เหนื่อยแต่คุ้มมากจริงๆ กับการเดินทางครั้งนี้ “เมืองน่าน ดอยภูแว”

How to go:

รถยนต์ส่วนตัว จากอำเภอเมืองน่านใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 (น่าน-ปัว) เป็นถนนลาดยางระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากอำเภอปัวใช้ทางหลวงหมายเลข 1256 (อำเภอปัว-อำเภอบ่อเกลือ) ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตรจะถึงที่ทำการอุทยานฯ ติดต่อสอบถามสำนักงานป่าไม้เขตน่าน โทรศัพท์ 0 – 5471 – 0136 , 0 – 5471 – 0815

รถประจำทาง จากหมอชิต หรือ ที่อื่นๆ ให้นั่งไปลงที่ตัวเมืองน่าน จากนั้นเหมารถสองแถว ราคาจะอยู่ที่ 2,000-2,500 บาท เหมาไปกลับ นัดเวลาไปรับด้วยครับ ไปส่งที่ทำการอุทยานดอยภูคา

One thought on “เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน ฟ้าแดง

  • Pingback: ม อ ง ข้ า ม - MoreMeng.in.th | MoreMeng.in.th

  • Comments are closed.

    สนใจสอบถามข้อมูล แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเราได้ที่ facebook fanpage

    CLOSE