Menu

เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน เส้นทางสุดหฤโหด

September 16, 2008 - ทอล์คทูทริป, เที่ยวถ่ายภาพ, เที่ยวผจญภัย, เที่ยวภูเขา, เที่ยวฤดูหนาว
เมืองน่าน ดอยภูแว, ตอน เส้นทางสุดหฤโหด

หลังจากท่องเมืองน่านจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็กลับไปตระเตรียมข้าวของ เพื่อจะเดินทางไปดอยภูคา เราได้เหมารถสองแถว (รถแดง) ไปส่งที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 11.00 น. เราเริ่มออกจากเมืองน่าน ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน พอออกจากตัวเมืองก็เข้าสู่ความเป็นชนบทอย่างเห็นได้ชัด มีพืชสวนไร่นาเรียงรายอยู่ข้างทางโดยรอบ อากาศสดชื่นน่านอนมาก ๆ ครับ พอเข้าสู่ช่วงที่เป็นภูเขา ทางค่อนข้างลาดชัน และมีโค้งเยอะมาก พาให้อยากอาเจียน เพราะเกิดอาการเวียนหัวขึ้นมาตะหงิดๆ


IMG_5163 IMG_5164 IMG_5171 IMG_5173

และเส้นทางบางช่วงก็กำลังทำการปรับปรุงซ่อมแซม เพื่อขยายพื้นถนนให้กว้างขึ้น บางช่วงก็แคบมากเพราะว่ามีรถบดถนนจอดอยู่ ซึ่งถนนตรงนี้เอง ที่ทำเอาหัวเรา 3 คน แดงไปหมด เพราะว่าฝุ่นลูกรังที่ตีตลบขึ้นมาจากท้ายรถ ต้องโผล่หน้าออกหาลมเพื่อหนีฝุ่น ท้องภาพในภาพสวยแบบนี้จริงๆ ครับ โปร่งโล่ง มีเมฆสีขาวมองเห็นเป็นก้อนๆ

IMG_5176IMG_5179IMG_5181IMG_5187

เราก็ใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 4 ชั่วโมง จากตัวเมืองน่านถึงที่ทำการอุทยานฯ ดอบภูแว ซึ่งเราก็มาถึงกันเย็นแล้ว ใจจริงพวกเรากะว่าจะขึ้นดอยภูแวกันวันนี้เลย เพราะตามโปรแกรมที่วางไว้จริง ๆ จะเที่ยวชมเมืองน่านช่วงเช้า และช่วงบ่ายจะขึ้นดอยภูแว ซึ่งก็ไม่คิดว่าระยะทางมันจะไกลขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เรากึ่งกลับกึ่งตื่นกันมาตลอดทาง เมื่อมาถึงที่ทำการอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ได้ให้เราพักที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งด้านในก็ไม่มีอะไร นอกจากวิทยุ 1 เครื่อง กับห้องน้ำ 2 ห้อง ส่วนเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยานมีอยู่ด้วยกันหลายคน ซึ่งที่นี่ต่างจากที่ทำการอื่นๆ เป็นที่ๆ ไม่่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก และยังมีคนรู้จักน้อย การเิดินทางค่อนข้างลำบาก เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะมาอยู่กับเป็นครอบครัว บางคนมีลูกน้อย ๆ ที่ยังไม่หย่านมก็มี เมื่อเราเก็บของสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็นัดหมายรถให้มารับ จากนั้นเราก็เดินสำรวจว่ามีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจบ้าง พบเด็กชาวเขากลุ่มหนึ่ง เดินมา ทุกคนยกมือไหว้แล้วพูดพร้อมกันว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” ผมเองก็แปลกใจ เลยลองสอบถามกับทางเ้จ้าหน้าที่ดูว่าทำไมเด็กชาวเขากลุ่มนี้เขาถึงทักทายเรา เจ้าที่หน้าบอกว่า “ครู” ที่โรงเรียนสอนมา เด็กชาวเขากลุ่มนี้ต้องเดินไปโรงเรียนเป็นระยะทางกว่า 10 กิโล (ไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ) และที่ไม่ธรรมดาเลยคือ “บ้าน” เขาอยู่ “บนเขา” ท่านลองคิดดูซิว่า 10 กิโล แค่เดินทางตรงเรียบๆ ก็เหนื่อยแล้ว นี่ต้องเดินลงเขาแต่เช้าและขึ้นเขาตอนเย็น กว่าจะถึงบ้าน โอ้ววว ผมไม่อยากจะคิด

IMG_5191IMG_5200IMG_5203

อาหารของวันนี้เป็นหนอนไม้ไผ่ ทอดร้อน ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานเขาทำให้กินครับเป็นกับแกล้ม :mrgreen: เขาเอาหนอนไม้ไผ่เป็นๆ ที่ยังไม่ตาย มาใส่น้ำ แล้วต้นให้เดือด Y_Y เกิดเป็นหนอนช่างทรมาน พอต้มจนได้ที่แล้ว เขาก็ัตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน รอจนร้อน จากนั้นก็เอาหนอน ที่ต้มเสร็จแล้ว เทน้ำออกให้หมด ตักใส่ลงไปน้ำมันที่กำลังร้อนได้ที่ โอ้ววว ยังกับหนอนดิ้นได้ เพราะว่ามันมีน้ำอยู่ พอโดนเข้ากับน้ำมันทำให้มันแตก เขาบอกว่า ถ้าไม่เอาไปต้มก่อน ใส่ไปแบบนั้นเลยมันจะ แตกมากกว่านี้ แม่เจ้าา จากนั้นก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย ซอสปรุงรส ว้าววว เริ่้มหอมแล้ว พอหนอนน้อยเหลืองพอได้่ที่แล้วก็ตักใส่จาน เสริฟเป็นเมนูอาหารว่าง สำหรับรับประทานเป็นของขนเคี้ยว ไม่ว่าจะนอนดูทีวี นั่งอ่านหนังสือก็สามารถเคี้ยวหนอนน้อยไปด้วย โอ้ววว แซบอีหลี :lol:

คืนนั้นเราก็นั่งกินข้าวกับเจ้าหน้าที่อุทยานเขาซะเลย ทีนี้ผมมีหมู ที่หมักมาจากบ้าน พอเอามันมาเปิดดู โอ้โฮ กลิ่้นรุนแรง แทบอยากจะทิ้ง มันเป็นกลิ่นตุๆ เหมือนหมูจะเสียน่ะแหละครับ พี่ผู้หญิงเขาเห็น ก็บอกอย่าทิ้ง มันไม่เสีย แต่กลิ่นมันตุๆ เฉยๆ เดี๋ยวทำให้ พี่เขาก็ เอาไปล้างน้ำแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ตอนเช้าจะทอดให้พวกเราเอาไปกินระหว่างทาง (ขอบคุณมากๆครับพี่ :cry: ) แล้วคืนนั้นเราก็เข้านอนนนน แต่…โอ้โฮ พื้นที่ศูนย์เป็นกระ้เบื้องครับพี่น้อง เย็นมาก แล้วเป็นห้องโล่งๆ คิดดูซินอนกัน 3 คน มันจะหนาวขนาดไหน มีผ้าห่มนวมอยู่ผืนเดียว ผ้าห่มที่เอามาอีกผืนนึงเอาไปรองพื้นแล้ว เพราะว่ามันเย็นมาก แต่ก็ข่มตานอนได้ เพราะึความเหนื่อยมาตลอดวัน

IMG_5222IMG_5228IMG_5206IMG_5207IMG_5218

 

เช้าวันรุ่งขึ้น แทบไม่อยากจะลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มเลยแม่เจ้า มันหนาวได้ใจจริง ๆ ผมเองตื่นมาตั้งแต่ ตี 4 แล้ว เพราะว่าเมื่อคืนนี้เราตอนกันตอน 2 ทุ่ม – -a มันผิดนิสัยการนอนของพวกเรา ปกตินอนกัน ตี 2 ตี 3 ผมหลับๆ ตื่นๆ รอให้มีแสงพระอาทิตย์ขึ้น เพราะว่าที่นี่ จะมีแสงพระอาทิตย์ก็ตอน เกือบ 7 โมงแล้ว เนื่องจากมันอยู่ในหุบเขา ทำให้ภูเขาบดบังแสงพระอาทิตย์จนหมด พอได้ลุกไปล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็ จับกล้องคู่ใจเดินถ่ายรูปบริเวณรอบๆ อุทยาน อีกฝั่งนึง 2 คนนั้นเขาำไปนั่งต้มโจ๊กร้อนๆ เป็นอาหารมื้อเช้ากันอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาได้ก่อกองไฟไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยกาแฟอีก 1 ถ้วย ที่มีบริการสำหรับนักท่องเที่ยว ฟรี!! อิอิ ชอบของฟรี

IMG_5253 IMG_5254 IMG_5262IMG_5263

หลังจากที่เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เรามุ่งหน้าสู่ยอดภูสอยดาวทันที เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้ระยะเวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง โอ้วว แม่เจ้า ผมเคยไปเดินภูสอยดาวมา 6-7 ชั่วโมง มาปีนนี้คงจะหวานหมูแ้ล้วล่ะอิอิ คิดใจใน ระยะทางจริงๆแล้ว ไม่ไกลมาก แต่!!!.. ชันมากครับ ขอบอก ชันกว่าภูสอยดาว 10 เท่า ที่นี่ เหมือน เนินมรณะ ที่ภูสอยดาวเลยครับ แต่มระณะ ตลอดทางเลย ><” จะเดินเรียบๆ นี่ไม่มีซะละที่นี่ ผมเดินจากอุทยานขึ้นมา ถึงจุดพักก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว และตลอดทางที่เราเดินขึ้นจะพบกับชาวเขา เดินสวนลงมาเป็นกลุ่มๆ เขาก็จะยิ้มให้ ถ้าเป็นเด็กเขาก็ไหว้และทักทายด้วยคำว่า “สวัสดีคะ/ครับ” ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าไรก็บอกไปว่า “ดีจ้า อีกไกลมั้ย” เขาก็ยิ้ม พลางบอกว่า “ม่ายไกล” พูดแบบนี้ทุกคนเลย – -* ตกลงมันใกล้จริงๆหรอเนี่ย พอเราเดินไปได้ซักระยะ จะตัดเข้าถนน เอ๊ะ ถนน บนเขามีถนนด้วยหรอ??? ใช่ครับ มันเป็นถนนจริงๆ เป็นถนนที่พอให้รถกระบะวิ่งได้คันเดียว แต่ผมก็แปลกใจว่า ทำไมมีถนนละ จนได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า ด้านบนที่เราจะเดินผ่าน มีหมู่บ้านของชาวเขาอยู่ เขามีรถไถไว้ขนพวกพืชผักลงไปขาย โอ้วว แม่เจ้า ทางชันขนาดนี้ให้ผมขับ 4×4 ขึ้นมาผมยังไม่กล้าเลยคร้าบบบบ เจ้าหน้าที่บอก ตรงนี้เป็นทางที่ชาวเขาจะขับรถมอไซต์ขึ้นลงทุกวันแหละ ออกกันแต่เช้า กว่าจะกลับก็เย็น เขาไปดูแลไร่ของเขา โอ้สสสส มอไซต์!! ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเบรกแตกจะทำยังไง?? ทางเดินที่ผ่านมาก็จะเป็นการข้ามเขา ลูกแล้วลูกเล่า ลัดเลาะไปตามแนวเขา

IMG_5280IMG_5285 IMG_5288 IMG_5297 IMG_5282IMG_5298

และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านปู่ดู่ หมู่บ้านชาวเขาที่เจ้าหน้าที่บอก ผมบอกได้เลยว่า ไกลมากครับ น้องๆ ที่เดินขึ้นมาเมื่อเย็นวานนี้เขาก็ขึ้นมาที่นี่แหละ ตอนนี้เวลา 10 โมงกว่า ถือว่าเราเดินกันไวมากครับ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงจุดนี้แล้ว เ้จ้าหน้าที่บอก ตรงนี้เป็นครึ่งทางแล้ว โอ้ววว ผมเริ่มดีใจ ทำไมมันไวกว่่าที่คิด แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ทางจะชันกว่าเดิม ><” ฟังแล้วปวดขาตะหงิด ๆ หมู่บ้านปู่ดู่มีอยุ่ประมาณ 20 หลังคาเรือน มีที่ทำการขอหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังก็จะสร้างจากไม้ วัสดุที่หาง่าย ยกเสาสูง ใต้ถุนจะมีกองไม้อยู่เต็มไปหมด คาดว่าเขาคงใช้ทำฟืน เพื่อหุงหาอาหาร และก่อไฟคลายหนาว แต่ที่สังเกตุคือทุกหลังจะมีแผน Solar Cell ติดอยู่ ไฮโซจริงๆ แถมที่ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านปู่ดู่ และมีลำโพงตัวใหญ่ๆ เป็นศุนย์กระจายเสียง และยังมี “จานดาวทียม” ด้วยนะครับ ไม่ธรรมดา ๆ ในหมู่บ้านเขาจะมีระบบน้ำประปา!! ที่เก็บไว้ใช้ทั้งปีเลยครับ เขาจะต่อท่อมาจากแหล่งน้ำบนเขา ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต่อมาจากไหน น้ำใสและเย็นมากครับ ทางหมู่บ้านมีถังปูนสูงประมาณ 2.5 เมตร 2 ใบ กังเก็บน้ำไว้ใช้ แต่น้ำก็จะล้นออกมาตลอด ถ้าเป็นบ้านเราล่ะก็ ค่าน้ำคงไม่ใช่น้อย

อ้อผมลืมเราไปว่าผมได้จ้างลุกหาบมาด้วยคนนึง เพราะว่าผมต้องให้เขาช่วยแบกน้ำกินน้ำใช้ครับ เพราะด้านบนจะไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งส้วม!! พอแวะพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางต่อ พี่เ้จ้าหน้าที่เขาได้ไปเอาส้มโอมาจากคนในหมู่บ้านมาลูกนึง มันเป็นส้มโอที่อร่อยมาก (สงสัยจะหิวจัด) เส้นทาง หลังจากที่ออกจากหมู่บ้านนั่น ชันอย่างที่เจ้าหน้าที่เขาว่าจริงๆ ครับ เป็นเขาสูงลูกแล้วลูกเล่า ช่วงที่เป็นขาลงก็ค่อยยังชั่วครับ มันทำให้น้ำหนักที่อยู่บนหลังเบาลงบ้าง แต่พอถึงจุดที่ต่ำสุดแล้ว ก็ขึ้นไปสู่เนินเขาอีก เป็นทางที่ท้าทายมาก บางช่วงก็เป็นทางลัดเลาะไปตามขอบเขา

IMG_5319IMG_5328IMG_5332IMG_5333IMG_5335IMG_5313IMG_5317

เดินทางได้ซักระยะก็มีถึงจุดๆหนึ่ง มีป้ายบอกทาง ทางหนึ่งไปยอดภูแวอีกด้านหนึ่งไปแหล่งน้ำ ที่สามารถนำมาดื่มกินได้ เราพักทานอาหารว่างที่เตรียมมาซักพักหนึ่ง ลูกหาบของเราก็ขอตัวไปเอาน้ำที่แหล่งน้ำ เพื่อเอามาใช้ดื่มกินระหว่างทาง พวกเรานั่งกินกันได้ซักพักหนึ่ง ก็เหลือบไปที่ถุงหมูทอด ที่เจ้าหน้าที่อุทยานทอดให้เรา มันมี ทาก ตัวนึงกำลังไต่ขึ้นถุงอย่างเพลิดเพลิน แม่เจ้า…ทุกคนลุกขึ้นทันที สำรวจรอบๆ กางเกง ถุงเท้า อึ๋ยยยย กลัวโดนเกาะ เราก็ต้องยอมไปนั่งตา่กแดด เพื่อจะได้กินกันอย่างเป็นสุข เพราะทากจะหลบแสงแดด มันชอบอยู่ในที่ร่ม และชื้นๆ หลังจากที่พี่ลูกหาบมาเราก็เดินทางกันต่อ

IMG_5341?IMG_5344 ?IMG_5342

ทางยิ่งใกล้ถึงยอดภูแวเข้าไปเท่าไหร่ ทางก็โหดมากขึ้นเท่านั้น ตามทางจะมีป้ายบอกระยะทาง และบอกเส้นทางข้างหน้า ลื่นและชัน ให้ระมัดระวังอย่างมาก พอเดินไปถึงจุดๆ หนึ่ง ผมก็ต้องแปลกใจกับ รอยเท้า ที่ขรุขระ เป็นตะปุ่มตะปั่ม คล้ายๆ กับรอยเท้าสัตว์ ที่เคยเห็นบ่อย ๆ พอเดินไปอีกนิดก็เจอกับ วัว ฝูงใหญ่ เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าเป็นวัวที่ชาวเขาเลี้ยงไว้ มันจะอยู่แถวๆ นี้แหละ หาหญ้ากิน วัวทุกตัวไม่มีสายผูกแบบวัวที่อื่น เขาปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติ มันดูเป็นวัวป่ายังไงยังงั้นเลย แต่ดูท่าทางมันจะชินกับผู้คน ไม่ทำท่าตกใจหรือตื่นคนเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเดินไปอีกซักระยะ จะพบกับต้น ปลงพันปี ที่มันแปลกคือมันจะ มีัลักษณะโค้งขึ้น แล้วลง แล้วมีจงอยแหงนขึ้นอีกทีหนึ่ง แบบในภาพเลยครับ นี่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ ไม่ได้มีการตัดแต่งแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้มันแปลกแบบนี้เองบรรยากาศด้านบนเริ่มเย็นบ้างแล้ว เราจะเห็นหมอกจางๆ ที่ปกคลุมภูเขาที่อยู่รอบๆ ซึ่งทางในช่วงนี้ก็เสียวไม่แพ้ช่วงไหนๆ เพราะต้องเดินไปตามขอบเขา ที่อีกด้านเป็นหน้าผา ที่จัดลงไปสุดลูกหูลุกตา มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

IMG_5354 IMG_5356 IMG_5358 IMG_5365 IMG_5374

แล้วในที่สุดเรา็ก็มาถึงจุดสำหรับกางเต้นท์…เมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็มองเห็น ยอดดอยภูแวอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้ใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว แดดตอนบ่าย 2 ค่อยข้างแรง แต่เราเองไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย มันมีลมพัดมาให้รู้สึกเย็นตลอดเวลา

IMG_5379 IMG_5383

สนใจสอบถามข้อมูล แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเราได้ที่ facebook fanpage

CLOSE