
จากชาติตระการ ถึง ภูสอยดาว ต้องเหมารถวิ่งลัดเลาะไปตามสันเขา ที่คดเคี้ยวพาให้อาเจียนยิ่งนัก แต่พอถึงจุดหมายทุกอย่างก็ผ่อนเบาลง หน้าหนาวน้ำที่ยอดภูสอยดาวไม่ค่อยมี จึงเป็นภาระหนักให้กับพวกเราที่ต้องแบกน้ำกันขึ้นไปเอง แต่ไม่ว่าอุปสรรคจะสูงแค่ไหน ถ้าใจไม่ยอมแพ้ ก็ต้องไปถึงจนได้
Copy & ReWrite
15 ธ.ค. 49
หลังจากที่เราขึ้นรถที่เหมาไปส่งที่อุนยายแห่งชาติภูสอยดาวแล้ว ผมก็คุยกับพี่คนขับตลอดทาง แกรูปร่างท้วมๆ – – เออว่าแต่พี่เขาชื่อไรหว่า ลืมถามไปเลย ตลอดทางขอบอกว่าซิ่งมากๆ ทางเลี้ยวลดคดเคี้ยว สุดๆ แทบจะอ๊วก ออกมาเป็นข้าวผัด พอถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ก็มีลูกหาบ มาอยู่กันเต็มเลย เจ้าหน้าที่บอกว่า น้ำข้างบนหมดนะครับ ให้เตรียมน้ำไปเยอะๆ อ้ายห่าเราก็หอบน้ำไปซะหลายแพ็กเลย กลัวอดตาย รวมๆแล้ว น้ำหนักที่ลูกหาบ ต้องแบกไปก็ราวๆ 46 กก. และผม 3 คนก็ ถือน้ำกันคนละแพ็ก และแบกเป้ กันขึ้นไปเอง รวมๆก็คนละ 5-7 กก. + ขวดน้ำเข้าไปอีกก็ 10 กว่ากิโลล่ะครับ สุดจะหนัก แม้คุณจะถือผลส้มไว้ด้วยมือเดียวโดนที่คุณไม่รู้สึกหนักอะไร แต่ถ้าคุณถือมันไว้ซัก 3 ชม ซิ คุณแทบจะวางมันเลยล่ะ เพราะยิ่งถือนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั่น ผมเดินไปพักไป แค่เนินแรกๆ ก็รู้สึกท้อซะแล้ว
อากาศโดยรอบๆ เย็นๆ ชื้นๆ กำลังสบายเลยล่ะเดินไปซักพัก ก็ไปสะดุดกับเจ้าเห็ดที่ติดอยู่กับขอนไม้ เลยไม่พลาดที่จะถ่ายเก็บไว้ อยากบอกว่าทางเดินค่อนข้างรกมาก เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าเราต้องการคงรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้ มีทางเดินเป็นรอยเท้าเล็กๆ ให้ดูจะได้ไม่หลงทาง เนินที่เดินขึ้นภูสอยดาว มีอยู่ 6 เนิน ดังนี้ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินต้นไทร เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง เนินมรณะ แต่ละเนิน ก็มีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ในภาพตอนนี้ เราได้พ้นเนินเสือโคร่งมาแล้ว กำลังจะขึ้นเนินมรณะ ซึ่งมีเพื่อนร่วมเดินทางด้วย 2 คนนั่นคือ เจมส์และตุ้ง และลูกหาบอีก 2 คน เจมส์ทำงานเป็นนักวิชาการประมง อยู่สุพรรณบุรี ส่วนตุ้งทำงาน AIS เมือเดินต่อมาได้ระยะหนึ่งจะถึงจุดพัก ที่จะมอง เป็นยอดของเนินมรณะ ซึ่งใช้ระยะทางอีก 1.8 กม กว่าจะถึงลานสน ทางของเนินมรณะจะสูงชัน ตลอดเส้นทางเลย ไม่มีจุดพัก ถ้าไม่มีลูกหาบล่ะก็คงได้นอนกันตรงตีนเขาแน่ๆ เมื่อเราเดินขึ้นก็ได้สัมผัสกับความสูงที่มองไปเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆสุดลูกหูลูกตามันกว้างใหญ่จริงๆ แถมมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป่า และภูเขา ตอนที่เดินขึ้นนั้นเอง เราก็ได้เจอกับ “ลุงพัน” อีกครั้ง ลุงแกเป็นลูกหาบที่นี่มาหลายปีแล้ว ลืมถามว่าอายุเท่าไร แต่ดูจากภาพนี้ เราก็พอ เดาออกว่าแกคงอายุประมาณ 50 ต้นๆ แล้ว แต่ดูแกยังแข็งแรงอยู่เลยรอยยิ้มแกที่ดูเป็นคนแก่ที่อยู่ในวัยชรา แต่ยังเต็มไปด้วยกำลังกาย และใจอันมุ่งมั่นนั่นทำให้เรา รู้สึกมีกำลังฮึกเหิมมากขึ้น ที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดภูสอยดาวให้ได้เราปีนต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็มาถึง “ลานสน” ที่เราตั้งใจไว้พอเรามาถึงมีแต่คนทัก เพราะกลุ่มที่เขาเดินขึ้นมาทีหลังเรา เขาแซงเรากันขึ้นมาก่อนหมดแล้วพอมาถึงก็พบว่าเจ้าหน้าที่ๆนี่น่ารักมาก เขาเอาเต้นท์ ของเรา มากางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้ง 2 เต้นท์เลย ฮ่าๆๆ เขาบอกว่า เห็นนานแล้วไม่ขึ้นมากลัวจะกางกันไม่ทันเพราะที่นี่จะมืดไวก็จริงๆครับ เจ้าหน้าที่เขาเอาน้ำมาให้เราผมเอะใจว่าน้ำทำไมถึงใส่แก้ว “กั๊ก” ผมดม ดู ถึงรู้ครับ โอ้โฮ 40 ดีกรี ผมจิบไปนิดนึงเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท แล้วให้ก๊องซดหมดแก้ว 555+ แสบคอมากครับพี่น้องก๊องกับน๊อตก็ได้กันอีกคนละ1 แก้วพอหอมปากหอมคอ เจ้าหน้าที่อุทยานเขาทำลาบและยำปลากระป๋อง เขาให้เราลองชิมดู ผมชิมไปซะคำโตเลย เขาบอกตามสบายๆเหอๆ ที่ศูนย์บริการจะมี ผ้าห่ม เต้น และเตาไฟให้เช่าด้วย พอเราย้ายเต้นท์ไปไว้ที่ทำเลเหมาะๆ ฟ้าก็มึดลงทันทีเลยเรายังไม่ได้ทันเก็บข้าวของอะไรให้หายเหนื่อยเลย ก็ต้องมาหาฟืน ก่อกองไฟกันแล้ว ก็ได้แค่แสงนิดๆหน่อยๆ อาการเริ่มเย็นลง ๆ เรื่อยๆ ลมพักเอื่อยๆ น่านอนมาก ข้าวมือแรก ณ ภูสอยดาวครับ ขาวน่ากินเหลือเกิน อ้อแล้ว เราก็ทำต้มยำ แต่เราไม่มีเครื่องต้มยำเลย จึงไปขอที่ศูนย์บริการ 555+ มีครับ เขาพอเหลืออยู่บ้าง พวกเราไป “เฝือ” เขาจริงๆเลย จากนั่นก็เงียบครับ มันจะไม่เหมือนเขาใหญ่ ที่พอดึกๆ ยังมีร้าน เปิดขายของ สามารถไปส่องสัตว์ได้ ยังมีคนเดินพลุกพล่านแต่ที่นี่เงียบสงบมีเพียงเสียงของลมที่พาดผ่านลำสนใหญ่ ที่ตั้งสง่าอยู่กลางทุ่งสนแห่งนี้เสียงลมพัดพาใบสนไหว ใบหญ้าพริ้วไหวดุจเกลียวคลื่น ผมไม่สามารถมองเห็นได้ แต่โสตประสาทของผม สามารถรู้สึกได้ดาวที่นี่สวยมากครับเพราะไม่มีแสงใดเลยที่จะมาบดบัง แสงอันสดสว่างของดวงดาวบนท้องฟ้าได้ เราอยู่ข้างนอกเต้นได้ไม่นาน ก็มีกระแสลมแรง แรงพอที่จะรู้สึกได้ว่า ลมหนาวกำลังจะมา หลังจากนั่นเราก็เข้า เต้นท์ครับ เปิดไวน์ฉลองความสำเร็จครั้งนี้กันหน่อย….