ภูเข้ 26 พ.ย. 2552
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดๆเดิมของพวกเรา นั่นคือ สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ ทริปนี้เราได้ผู้ร่วมเดินทางมาเพิ่มอีก 3 คน จากที่จองตั๋วไว้ 8 คน มี 2 คนขอสละสิทธิ์ไม่ไปในครั้งนี้ จึงทำให้มีตั๋วว่าง 2 ที่ เราจองตั๋วไป-กลับ ค่าตั๋วคนละ 497 บาท สมาชิกที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้มี ผม ก๊อง น๊อต กร ออย โฟม ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เรียนมาด้วยกันทั้งนั้น โชคดีที่ตั๋วที่เราจองเป็น 8 ที่ ๆ อยู่ชั้น 2 ของรถ อยู่ชั้นล่างทำให้เราได้รับอิสรภาพอย่างเต็มที่ ต่างจากผู้โดยสารท่านอื่นๆ รถออกเวลา 20.30 น. พอรถเคลื่อนที่ เราก็เริ่มสนุกสนานกับการเตรียมตัวเดินทาง การแบ่งหน้าที่ในการซื้อของ และวางแผนในการเดินป่า รวมกับการอัด VDO รายการนำเที่ยวของเราอีกด้วย พอเราอัดไปได้ซักพักหนึ่ง ไฟตรงที่เรานั่งอยู่ก็ดับลง มันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า “มึงเสียงดังไปแล้วนะ กูรำคาญ” แต่พวกเราก็ไม่วายที่จะเล่นต่อ เพราะว่าเอาไฟฉายมาด้วย ฮิฮิ พออัด VDO เสร็จก็ต่างคนต่างนอน เก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ต่อไป
พอได้เวลาตื่นมา ก็ถึงสถานีขนส่งจังหวัดน่านพอดี ต่างคนก็เอาสัมภาระลงจากรถ สัมภาระเราค่อนข้างเยอะ พอลงมาจากรถทุกคนต้องหันมองเห็นตาเดียวกันเลย เพราะมันเยอะมาก พอสำรวจของแล้ว สรุปว่าเราลืมเต้นท์ไป 1 หลัง ซึ่งวางไว้ข้างประตูบ้าน ทำให้คืนนี้เราต้องนอนเบียดกับสัมภาระแล้วละ จากนั้นก็โทรหาป้าของก๊อง ให้ป้าหารถให้ ซักพักรถก็มาถึง เป็นรถสองแถวสีแดง พอคนขับลงมาจากรถ เราก็มองหน้ากัน แล้วพูดแบบเดียวกันว่า “คนเดิม” ใช่แล้ว เป็นลุงคนเดิมกับที่เคยพาเราไปส่งที่ดอยภูแว มาแล้วครั้งนึง ลุงแกก็ทำหน้างงๆ ตอนที่เห็นพวกผม 3 คนนะ เหมือนจะจำได้ กึ่งไม่ได้ สรุปแล้วแกคงจะ คลับคล้ายคลับคลาแหละ ว่าเคยเห็นหน้าพวกเราแล้ว ผมว่าเวลาที่ไปเที่ยวที่ไหนแล้วมีคนจำหน้าเราได้ มันรู้สึกดีนะ มันเหมือนเราเป็นญาติพี่น้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน บ้านเดียวกัน ที่ไปมาหาสู่กัน รู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ประเทศไทยจริงๆครับ พอเอาของขึ้นรถลุงหมดแล้วก็ไปยังตลาดสด ที่เคยซื้อกันชื่อ ตลาดตั้งจิตอนุสรณ์ บรรยากาศของตลาดนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก คนยังมาจับจ่ายใช้สอยกันเยอะเหมือนเดิม แต่ที่ผมเห็นอย่างหนึ่ง ก็คือ ไม่มีนักท่องเที่ยว มาซื้อกับข้าวแบบพวกเราบ้างเลย?
ก็แปลกนะ ผมมา 2 ครั้งแล้ว ยังไม่เจอนักท่องเที่ยวแบบพวกเราบ้างเลย ดีที่ไปภูแวยังเจอพี่ๆจาก trackingthai เอารถตู้ไปจอดกัน ก็สบายไปอีกแบบ ไม่ต้องหารถเองแบบพวกเรา พอเราซื้อของเสร็จแล้วก็ไปซื้อน้ำ ถังละ 5 ลิตรเพื่อขนขึ้นไปกินใช้ดื่มบนทางขึ้นเขา ระหว่างนั้นผมเห็นฝรั่งคนหนึ่ง เขาถือไม้เท้า ที่ปลายแหลมๆ จิ้มไปที่ถุงพลาสติก กระดาษ ที่อยู่ริมถนน ในตอนแรกผมก็คิดว่าตรงนั้นคงเป็นหน้าบ้านของฝรั่งคนนั้น แต่ไม่ใช่ เพราะเขายังเดินเก็บขยะต่อไป ใส่กล่องที่เขาห้อยไว้ที่เอว น่าชื่นชมมากครับ ที่ทำให้บ้านเมืองสะอาด ปราศจากขยะ พอออกมาจากตัวเมือง อากาศก็เริ่มเย็นๆ ลองเอาที่วัดอุณหภูมิขึ้นมาดู พบว่าตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 19 องศา กำลังสบายเลยครับ พอลุงถึงบ้านเขาก็รับแฟนขึ้นมาบนรถ เราก็ยังไม่วาย ที่จะขอยืม ช้อนและซ่อมจากบ้านลุง เพื่อเอาไปใช้บนเขาด้วย ?เพราะที่เตรียมมาลองเช็กดูแล้ว ไม่พอ ลุงก็ใจดีไปหยิบช้อนซ่อมมาให้เรามัดนึง เหอะๆ (ขากลับก็ไม่ได้คืนลุงแกเลย) พอเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ถนนก็เริ่มคดเคี้ยว เส้นทางเริ่มน่าหวาดเสียวมากขึ้น มีทางขึ้น ทางลงและโค้งหักศอก ถ้าใครไม่ชำนาญเส้นทาง ให้ขับช้าๆใช้เกียร์ต่ำเข้าไว้นะครับ เพราะอันตรายมาก พอขับไปได้ซักระยะหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้ใบหญ้า ก็ได้กลิ่นไหม้ ที่มาจากจานเบรก แต่เราก็ไม่ได้ตกใจอะไร จนควันขึ้น ลุงแกจึงหยุดรถ แล้วเปิดประตูลงมาดู พร้อมกับพูดว่า “พังแล้วๆ” ซึ่งจริงๆมันเป็นเรื่องปกติของคนขับรถอยู่แล้วที่ต้องเจอกับ ครัชไหม้ เบรกไม้ ก็ลุงแกเหยียบเบรกแช่มาตลอดทางเลย จึงพักจานเบรกให้เย็นซักพักหนึ่งถึงจะไปต่อได้
จนมาถึงทางเข้าโรงเรียน ตชด. พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน เพราะไม่มีป้ายบอกทาง แต่ก๊องเองจำได้ว่าจะมีด่าน คนที่เคยมาเขาบอกให้เข้าตรงด่านนั้นแหละ เราจึงจอดถามที่ด่าน? คนที่ด่านเองรู้จักแต่ ร.ร. ตชด. แต่ไม่รู้จักดอยภูเข้ (T_T ถามใครๆ ก็ไม่รู้จัก) พอเข้าไปตามเส้นทางข้างๆด่านจะเป็นทางลูกรัง และเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง เราขับจนมาถึงแยกแล้วไม่รู้จะเลี้ยวไปทางไหน จึงจอดรถ แล้วก็โชคดีที่มีมอเตอร์ไซต์ขับมาคันนึง พวกเราพยายามเรียกแล้ว แต่เหมือนเขาหูหนวก ทำเป็นไม่ได้ยิน ก็เลย งงๆ กันว่า เขาเป็นอะไรของเขาวะเรียกไม่จอด จนมีคนเดินมาอีกคน เราก็ถามว่า โรงเรียน ตชด. อยู่ไหน เขาก็ยิ้มๆ แล้วก็เดินต่อ จนลุงต้องเดินเข้าไปคุยเอง – -* โรงเรียน ตชด. อยู่ซ้ายมือเรานี่เอง พอเข้าไปถึงที่ โรงเรียนตชด.แล้ว เขาให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ๆนั่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำทางไปให้ ตอนนี้พวกเราหัวแดงกันหมดทุกคนเลย เพราะทางที่เข้ามามีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด เราก็อยู่ในอาคารเรียนซักพัก พี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ ตชด. เขาก็วิ่งขึ้นมาจากตีนเขา เพราะไปคุมเด็กตัดหญ้าปลูกผักอยู่ที่นั่น เขาก็ตอนรับเราดีมากเลย ก็คุยกับพี่เขาอยู่ซักพักนึง เขาก็โทรไปบอกเจ้าหน้าที่อีกคนที่จะพาเราขึ้นไป แต่เราต้องรถถึงเย็นกว่าเขาจะมา ทำให้เราเสียเวลาเดินทางไปครึ่งวันแล้ว เราจึงหาอย่างอื่นทำไปก่อน
ตอนนั้นก็เวลาบ่ายกว่าๆแล้ว ทำให้พวกเราต้องสำรองพื้นที่ในกระเพาะเตรียมแรงไว้ เพราะคืนนี้อาจจะต้องนอนกันที่ ตชด. 1 คืน แล้วพรุ่งนี้เช้าออกกันแต่มืดเลย เพื่อเดิมให้ถึงยอดภูเข้ นี่คือความตั้งใจในทีแรก ซึ่งสถานะการณ์มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น… ระหว่างที่รอเวลาเราก็เอา แผนที่ประเทศไทย By talktrip มากางดู ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน พี่เจ้าหน้าที่ก็สนใจ เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นแผ่นที่ๆมันใหญ่ขนาดนี้มาก่อน 555 เขาก็ชี้ว่าตรงนี้เคยไป ตรงนี้มีอะไร ก็ดีครับ ได้ความรู้เพิ่ม
จนได้เวลาพี่เจ้าหน้าที่อีกคน ที่จะพาเราขึ้น เขามา เขาก็ถามว่าจะขึ้นตอนไหน ตอนนี้เลยหรือจะไปตอนเช้า ซึ่งตอนนี้ที่พี่เขาบอกก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็นแล้ว พวกเราตัดสินใจกันซักครู่ ก็ตกลงกันว่าจะเดินทางตอนกลางคืนนี่แหละ ท้าทายดี ยังไม่มีใครเคยเดินป่าตอนกลางคืนด้วย ครั้งหนึ่งในชีวิต มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยว ก่อนจะขึ้นเราก็มาปูผ้าที่หน้า ตชด. ตั้งเตา เพื่อกินสุกี้กัน เนื่องจากผ้าเก็บผักไว้นาน มันจะเน่าได้ เลยกินกันซะก่อน ของจะได้ไม่เสีย พี่เจ้าหน้าที่เขาก็ใจดีเอา กระดูกหมูมาให้เรา ทำน้ำซุบด้วย เราจึงชวนเขามานั่งร่วมวงด้วย
พอกินกันเสร็จแล้ว ล้างจากชาม เรียบร้อยก็ แพ็คของใส่กระเป๋าของแต่ละคน แบ่งๆกันให้ไม่หนักเกินไป แต่ที่หนักหนาก็คือ เราเดินโดยไม่มีลูกหาบ ของทุกอย่างต้องขนกันไปเองหมดเลย พี่ตชด. พาเราลัดเลาะไปตามไหล่เขา ไปได้ซักระยะหนึ่ง ซึ่งเราก็หยุดพักกัน เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ก็แทบแย่แล้ว พี่เขายังบอกว่า จะหาลุกหาบมาเพิ่มให้ แกก็หายไปพักใหญ่
จนได้คนมาเพิ่มอีก 2 คน เราจึงแบ่งของให้เขา เพื่อลดน้ำหนักลง แต่ละคนก็เฉลี่ยๆแล้ว ประมาณคนละ 30 กิโล ใจจริงก็อยากนอนมันแม่งตรงนี้แหละ เช้าค่อยเดินต่อ เพราะเราใช้เวลา 2 ชม กว่าจะมาถึงจุดทางแยกนี้ มันนานมาก พอต้องเดินต่ออีกระยะหนึ่ง เราก็จะเหลือเพียง เป้ของส่วนตัวกับ กระเป๋ากล้อง แต่ของผมก็ยังหนักหนาอยู่มันมี แผนที่อยู่ด้วย ทำให้มันยังหนักอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่ไม่มีลูกหาบ ก่อนจะเดินทางต่อเราก็ถามลูกหาบว่า อีกไกลมั้ยจะถึงจุดกางเต้น เขาบอกไม่ไกล แต่นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย (T_T อยากจะนอนมันตรงนี้เลยพอได้ยิน)
เราก็เดินออกหน้าไปก่อน เขาบอกให้เราไปรอตรง 3 แยกต้นสน เราก็เดินๆไปเรื่อยๆ เส้นทางนี้เหมือนมีรถไถเข้ามาได้ แต่เส้นทางก็แย่มากๆ ขรุขระ และมีใส้เดือนตัวใหญ่ๆ ออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมดเลย บางตัวยาวเท่าไม้บรรทัดเลยก็มี ไม่รู้สาเหตุที่มันออกมากันเยอะขนาดนี้ พูดได้ว่าเหยียบตรงไหนก็เจอใส้เดือน เดินๆไปเจอตรงไหนก็พยายามหาที่หยุดพัก เพื่อรอคนอื่น เจอตรงไหนไม่มีใส่เดือนละเป็นได้นั่งสมใจ พอเดินไปตามเส้นทางก็จะหากับวัวฝูงหนึ่ง น่าจะเป็นวัวเลี้ยงเพราะเวลามันเดินมีเสียงกระดิกด้วย แสดงว่าเขาเลี้ยงมันไว้แถวนี้ พอถึงแยกต้นสนตามที่พี่เขาบอก ผมเองก็นั่งพิงกระเป๋าแหงนหน้าแล้วก็แอบงีบไปได้พักหนึ่ง ตอนนี้คาดว่า 4 ทุ่มแล้วครับ ตอนแรกก็คิดว่าเขาจะกางเต้นท์นอนแถวนี้ ในใจอยากนอนตรงนี้มากเลย แต่ไม่รู้จะกางได้ยังไง เพราะพื้นที่มันเอียงมากเลย พอลูกหาบมาถึง เขาก็พาเราเดินเข้าไป ลุยๆ ป่าไปเรื่อยๆ ทีนี้แกไม่รอเราเลย เพราะผมจะรั้งท้ายอยู่กับน๊อต ซึ่งทางเดินในป่ารกๆนี้มันจะมีทางแยก เหมือนอุโมงค์ เพราะพุ่มไม้มันบังแสงไว้หมดเลย ทำให้เราหลงทางไปนิดนึง พอเดินๆไปเจอทางตัน จึงต้องเดินกลับ พอกลับมาถึงแยกก็เจอกรยืนอยู่ คอยฉายไฟให้ พอเดินจนพ้นป่านี้ไปแล้ว ก็เห็นแสงไฟอยู่ที่เบื้องล่างแบบลิบๆ ทางที่เดินตอนนี้จะเลาะไปตามไหล่เขา น่ากลัวมากครับ เพราะไม่รู้ว่ามันสูงแค่ไหน พอเดินไปตรงจุดที่ลูกหาบพักกันอยู่ เขาก็ลุกหนีเราไปซะงั้น (- -* ใจคอพี่จะไม่ให้พวกผมพักเลยใช่มั้ย) ทางตรงนี้เดินลงน่ากลัวมากครับ หากคุณเคยเดินป่า เคยไปภูแว ภูสอยดาว ผมบอกได้เลยว่า จิ๊บๆครับ มาเดินตรงนี้แล้วคุณจะรู้สึกถึงความเหนื่อย เส้นทางเขาไม่ได้ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวเดิน แต่มันเป็นทางสำหรับชาวเขาที่เขาเอาไว้เดินทำนากัน มันจะตัดตรงๆ ขึ้นตรงๆ ลงตรงๆ เพราะถ้าเลี้ยวมากมันจะเสียเวลา
พอเราลงไปตีนเขา ก็พบกับป่ารกๆอีกครั้ง ทีนี้ต้องลุยน้ำกันด้วยครับ พอขาขึ้น อันนี้ต้องอาศัยมือยึดเกาะมากหน่อย เพราะว่ามันชันและลื่นอีกต่างหาก พอพ้นป่ามาได้ก็เห็นทุ่งนาข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้ว ผมเดินไป ถ้าหยุดตรงไหนก็หลับตรงนั้นเลย เพราะหมดแรงจริงๆ จะให้นอนถึงเช้าก็ได้เพราะอารมณ์ตอนนี้นอนตรงไหนก็ไม่สนใจแล้ว อากาศตอนนี้ไม่รู้ว่ากี่องศา แต่รู้สึกได้เวลาลมเย็นๆมาสัมผัสกับเหงื่อที่โทรมกาย ทำให้ชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก พอถึงบ้านของชาวคนที่ปลูกอยู่กลางนา ผมก็คิดในใจว่าคงจะพักกางเต้นท์ตรงนี้ แต่ไม่เลยครับ ยังเดินต่อกันอีก เขาบอกว่าจะถึงแล้ว ผมเริ่มเดินเหมือนคนที่วิญญาณออกจากร่าง เพราะทางขึ้นตรงนี้เป็นป่ารกๆ มองทางไหนก็มีทางเดินเต็มไปหมด เลยไม่รู้ว่าจะไปโผล่ตรงไหนดี พอพ้นป่าไปได้ ก็เจอลานโล่งๆ และพี่ตชด. กับลุกหาบกำลังก่อกองไฟไว้ให้พวกผม เป็นว่าคืนนี้ เรานอนตรงนี้แหละ พอผมหาที่วางกระเป๋าได้ก็ไม่สนใจแล้ว ขอหลับท่ามกลางน้ำค้างนี่แหละ
มันเหนื่อยแทบขาดใจจริงๆ จนก๊องปลุกให้กางเต้นท์ก่อน จึงรู้สึกตัวมากางเต้นท์แล้วก็กินมันเผากับโอวันตินร้อนๆ ก่อนนอน คืนนี้อุณหภูมิต่ำสุดที่ 9 องศา แต่แทบไม่รู้สึกหนาวเลย ผมดูเวลา ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะมัน ตี 2 กว่าแล้ว เราใช้เวลาเดินทาง ตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึงจุดนี้ตี 2 รวมใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง พี่ลูกหาบเขาก็มาถามว่า พรุ่งนี้จะออกกันกี่โมง เดี๋ยวเขามาปลุก เพราะเขาก็ไปก่อกองไฟอยู่ที่ไหล่เขาเพื่อหลบกระแสลม อยู่ไม่ห่างจากเต้นท์เราเท่าไหร่ พวกเราก็ลังเลกันอยู่ว่าจะเดินต่อหรือว่า จะหยุดแค่นี้ ต้องรอดูสภาพร่างกายพรุ่งนี้ก่อนว่าจะพร้อมเดินทางอีกหรือไม่??!